September 29, 2005

Family & Friends

วันนี้ก็อยากมาขอบคุณเหล่าเพื่อนรักทั้งหลายจ้า ที่เมื่อวันจันทร์ได้ยก..โขลง..ไปหาพ่อหนุ่ยกะแม่หมูของยัยจูนกันมา ไม่ทราบว่าได้เผาอะไรจูนกันไปบ้าง ทั้งฝ่ายพ่อแม่และผองเพื่อน พ่อกะแม่บอกว่าดีใจ ละก็สนุกดี เหมือนมีลูกเพิ่มหลายคนเลย เห็นว่าคุยกันสนุกสนานใหญ่เลยนะ ขอบคุณนะจ๊ะ.ที่รักทั้งหลาย Love me, Love my Parents เนาะ ยกโขลงกันไปจนพ่อกะแม่พาลรักเหมือนลูกกันไปแบบนี้ ไม่รู้ได้ไปเดินริมน้ำหน้าบ้านกันรึป่าว คือตรงนั้นอ่ะ มีโอ่งหลายใบมากเลยนะ เดี๋ยวจะแบ่งสมบัติกันให้คนละโอ่งนะ!! เสี่ยงทายกันเอาเองว่าใครได้ใบไหนแล้วข้างในมีอะไร ดีป่าว ดีจังเลย รู้สึกอบอุ่นใจดี ขอให้รักกันแบบนี้จนแก่เลยเนาะ.. อืม ขอเผาหน่อย ได้ข่าวว่า ใครบางคนมีการเอารูปแฟนไปให้พ่อจูนดูด้วยว่า ..คุณพ่อคะๆ แบบนี้ใช้ได้มั้ยคะ เป็นคนดีมั้ยคะ 555 อ่ะนะ อ้าว!! แต่อย่าทำเป็นเล่นน๊า พ่อหนุ่ยอ่ะดูแม่นน๊า..จะบอกให้ ไม่เชื่อพิสูจน์ได้(สงสัยทีนี้มีคนเอาไปให้ดูอีกเพียบแน่เลย เอาล่ะทีนี้ พ่อก็จะไม่เหงา แถมมีรายได้พิเศษอีก..เป็นแผนๆ)แต่ดูให้ลูกสาวทีไรเป็นทะเลาะกันทุกทีค่ะ เพราะ.ลูกสาว "ดื้อมากถึงมากที่สุด" แล้วก็น่ารักมากมีการ offer เปิดสอนคอร์สระยะสั้นเพื่อการต่อ Internet ถึงลูกจูน ให้พ่อกะแม่ด้วยนะ แต่เห็นพ่อบอกว่า ป่านนี้แล้วขอเป็น Telephone แทนนะลูกนะ ยังไงก็ไม่ยอมใช้คอม ดูจิๆ แต่ก็กลายเป็นว่าตั้งแต่มาที่นี่ สิ่งที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นคือ ยัยจูนมีเวลาคุยกับพ่อและแม่มากกว่าอยู่เมืองไทย 2-3 เท่าเลยนะ แล้วก็คุยกันได้ทุกเรื่องมากกว่าเมื่อก่อน ส่วนจูนเนี่ย ช่วง 2-3 วันนี้ค่อนข้างว่าง สั่งสารแล้วมาช้า เฮ่อออออออ เซ็งจริงๆเลยอ่ะ แบบว่าอยากทำงานอ่ะ แบบว่าไฟกำลังแรงอ่ะ ดูซิตั้งกะเรียนมาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย คิดถึงทุกคนน๊า แล้วก็..อยากขอบคุณที่โลกสร้างเธอขึ้นมา "ให้ฉันได้พบเวลาที่สดใส" (@^_^@)หากความจริง ถึงเธอจะอยู่แสนไกล ก็ยังจะคอยส่งใจ ไปหาเธอๆ.. ปล.ส่วนคนอื่นที่จูนก็รักและก็รักจูนเหมือนกัน ก็ฝากคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะค๊า ถ้าคิดถึงก็แวะไปเยี่ยมกันได้จ้า ครอบครัวนี้ยินดีต้อนรับและมีความรัก ความอบอุ่นแบ่งปันให้ทุกคนค่า.... จูนเองค่ะ

September 28, 2005

..เปลวเทียน..

วันนี้ serious ก็เพราะเรื่องราวที่อยากเขียนค่อนข้างหนักและมีสาระ ตัดสินใจอยู่หลายวันทีเดียวว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีรึเปล่า ยังไงก็ตาม..ได้ตัดสินใจเขียน และขออนุญาตินำมาเล่าเพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นและไม่เกิดกับใครอีก เมื่อวันหยุดที่ผ่านมาจูนได้ทราบข่าวจากเพื่อนสมัยสตรีวิทย์ว่า คุณพ่อของเพื่อนคนนึงเสีย ซึ่งท่านยังอายุไม่มาก ประมาณไม่เกินห้าสิบนิดๆ แน่ สาเหตุคือท่านลื่นหกล้มในห้องน้ำ และไม่มีใครรู้ ค่อนข้างนานกว่าจะมีใครมาพบ และประตูห้องน้ำถูกล็อก ทำให้คนภายนอกไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ ต้องพังประตูเข้าไป เมื่อจูนได้ทราบข่าวนี้ ก็ทำให้พูดไม่ออกไปสักพักทีเดียว วันต่อๆมา ก็ได้พยายามโทรไปหาเพื่อนคนนั้น แต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับ อาจด้วยเพราะเวลาที่ต่างกันระหว่างอเมริกากับไทย ทำให้จังหวะว่างพอดีกันได้ยาก อย่างไรก็ตามขอฝากผ่านเวบนี้ว่า..จูนขอเป็นกำลังใจให้ในทุกอย่าง ขอให้เพื่อนเข้มแข็งและผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ แล้วจะพยายามโทรไปอีก เป็นห่วงนะ.. เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายถึงความรู้สึก ก่อนหน้านี้..เวลาที่ขึ้นวอร์ดทำคนไข้ ก็จะพบคนไข้กลุ่มนึงทีเดียว ที่ได้รับอุบัติเหตุในทำนองเดียวกันนี้ แต่ไม่เสียชีวิต กลับกลายเป็นอัมพาตแทน การหกล้มในผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง บางครั้งเราก็ไม่นึกระวังจนกว่าจะได้ทราบเรื่องราวของใครสักคน ก่อนหน้านี้.. จูน จะค่อนข้างเป็นห่วงพ่อกับแม่เรื่องนี้มาตลอด เนื่องจากพ่อกับแม่มีอายุมากแล้ว และเรามีความฝันว่าสักวันเราจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกัน ห้องน้ำที่บ้าน สำหรับพ่อ..จูนจะไม่เคยยอมให้ล็อกกลอนเด็ดขาด ต้องเอาผ้ามาผูกไว้ที่หูจับประตู แล้วใช้วีธีงับผ้าเอาไว้ตลอดมา ตอนนี้เลยต้องมาขอร้องแกมบังคับกับแม่อีกเหมือนกัน นอกจากนี้เรื่องของอ่างอาบน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญอีกอย่าง เพราะเป็นอะไรที่ลื่นหกล้มได้ง่ายมาก และแน่นอน เปอร์เซนต์เสี่ยงของการลื่นล้มศรีษะฟาดก็ต้องสูงตามมา อาการก็ย่อมต้องแล้วแต่สาเหตุและความรุนแรงแน่นอน.. มีเส้นเลือดแตกหรือไม่ เส้นเลือดนั้นเป็นเส้นสำคัญแค่ไหน ทำให้สมองส่วนใดขาดออกซิเจนหรือเปล่า และขาดออกซิเจนเป็นเวลานานแค่ไหน.. นั่นจึงแล้วแต่ว่าผู้ป่วยจะถึงกับชีวิตหรืออาจรอดมาแต่เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ .. จริงอยู่ที่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แต่ถ้าเราเลือกที่จะ "ป้องกัน" ก็ย่อมลดอัตราเสี่ยงของการเกิดไม่ใช่หรือ การเสียค่าใช้จ่ายนั้นเป็นแค่ปัจจัยหนึ่ง แต่..การสูญเสียทางใจ..ย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า และยากที่จะเยียวยาให้หายได้ บางครั้งเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เลือกเกิดเฉพาะกับผู้สูงอายุเท่านั้น เช่นกรณีของคุณพ่อเพื่อนท่านนี้เป็นต้น วิธีการป้องกันย่อมต้องมีหลายวิธี การดูแลรักษาความสะอาดห้องน้ำไม่ให้ลื่นและแห้งอยู่เสมอ, การหาแผ่นยางมารองกันลื่นซึ่งมีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป สำหรับประตูที่เป็นลูกบิดก็อย่าลืมเก็บลูกกุญแจให้ดีอาจมีประโยชน์ในยามฉุกเฉินเช่นนี้ กรณีประตูมีกลอนอาจลองใช้วีธีแบบที่บ้านจูน ตอนแรกอาจดูขัดเขิน แต่วันหนึ่งมันอาจมีคุณค่าขึ้นมาหากมันต้องเกิดกับใครใกล้ตัวที่เรารัก.. อีกสิ่งที่เตือนให้ฉุกคิดก็คือ.. วันนี้ทุกคนได้ทำอะไรที่อยากทำหรืออยากพูดให้กับคนที่เรารักหรือยัง โดยเฉพาะผู้ที่ให้ชีวิตแก่เราและรักเราในทุกลมหายใจ ลองสมมติว่าเช้าวันนี้หรือเมื่อวานคุณอาจทำไม่ดีกับท่านเล็กๆน้อยๆ หรือไม่มีเวลาที่จะเข้าไปกอดหรือหอม หรือแม้แต่จะไหว้สวัสดี แล้วถ้าเย็นวันนี้คุณก็อาจไม่มีแม้แต่โอกาส แม้แต่จะพูดคำว่า..ขอโทษ.. คุณคงเสียใจและโกรธตัวเองเป็นที่สุด เย็นวันนี้หรืออาทิตย์นี้..อย่าลืมไปกราบ ไปหอม ไปกอดท่านให้เต็มอิ่ม และทำเวลาที่คุณมีอยู่ให้สวยงามที่สุด เพราะคุณช่างโชคดีเหลือเกินถ้าคุณยังได้เวลานั้นเป็นของคุณอยู่ นั่นหมายถึงคุณยังสามารถกำหนดด้วยตัวเองได้ว่าจะใช้เวลานั้นให้เป็นไปอย่างไร ..หากเรื่องราวในวันนี้ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครและครอบครัวใครได้บ้าง ขออุทิศกุศลกรรมที่ดีงามทั้งหมดนี้ให้กับคุณพ่อของเพื่อนท่านนี้ (ซึ่งพึ่งได้ทราบข่าวว่าจะเผาในเย็นวันนี้เช่นกัน) เพื่อจะได้ไม่เกิดกับใครอีกหรือเกิดน้อยที่สุด แล้วคุณล่ะ..จะเลือกให้เทียนเล่มนั้นยังสว่างและสวยงามอยู่ หรือต้องพยายามจุดใหม่อีกครั้งเมื่อไส้เทียนนั้น..อาจได้ขาดไปแล้ว.. ด้วยรัก.จากจูน

September 27, 2005

A lot of FoOd & Car WasHing

ฮาหรูวววว.. เป็นไงบ้าง สบายดีกันรึป่าวจ๊า ดีใจจัง..จูนไปซื้อของมาเต็มตู้เย็นเลยอ่ะจ้า รอดตายไปอีกหนึ่งอาทิตย์ เพื่อนพาไปซื้อของมาเมื่อวันเสาร์ ตอนก่อนไป เพื่อนก็ไปล้างรถก่อน สนุกมากเลยอ่ะ เหมือนเข้า Fun Park เล่น Super Splash เลยอ่ะ ก็ $ 5 ต่อครั้ง เป็น Automatic machine ตอนแรกก็ขับเข้าไป แล้วก็มีน้ำฉีดให้เปียก แล้วขับต่อไปก็เป็นด่านฟองสบู่ แล้วก็ขับผ่านผ้ายักษ์ เหมือนช่วยขัดถูอ่ะ ผ้ายักษ์นี่มี 2 ด่านนะ เป็นผ้าหยาบกับผ้าละเอียด มีไฟแดงๆ ฟ้าๆ ด้วยนะ หนุกๆ ชอบๆ แล้วก็ขับไปล้างน้ำต่อ จากนั้นก็ไปเข้า Drying machine ก็จะเป่าลมร้อนให้รถพอแห้งหมาดๆ แล้วก็ขับออกมาให้เด็กปั๊มใช้ผ้าเช็ดหยดน้ำน้อยๆ ที่เหลือ อีกที เป็นอันเสร็จพิธีการล้างรถ ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกิน 5 นาที สนุกดี ชอบๆ เพื่อนบอกว่าตอน snow ตก ก็ทำได้ ทำให้เราเกิดสนใจขึ้นมา ต้องมาดูตอน winter ซะหน่อยว่าเค้าทำไงกับหิมะที่เกาะ ถ้ามีงี้อิอิ จูนซื้อรถดีกว่า อย่างน้อยก็มาใช้บริการปั๊มนี้ก็ได้ อิอิ ไม่ต้องตักหิมะเอง แล้ว dinner ประจำวันก็ได้เปลี่ยนจากแอปเปิ้ล 1 ลูก (ปล.4 ลูกในรูปเป็นอาหารเย็น ประจำอาทิตย์นี้เองล่ะจ้า) เป็นอาหารจีน ดีจัง ก็อร่อยดี เป็น grilled pork with garlic sauce อะไรสักอย่าง แหม...ไหนๆ ก็อุส่าห์ออกมาจากเขตกักกันปลอดหมูของ roommate;เจ๊ไอแล้ว ก็ต้องทานซะหน่อย จานเ บ้อเร่อเลยนะ $6 กินไม่หมดต้องห่อกลับบ้านกินพรุ่งนี้ อิ่มเอมเปรมปรีกันไป แช่ตู้เย็นไว้ (ในรูป คือกล่องสีขาว อักษรแดง ส่วนแพคขาวๆ เป็น Sandwitch จากร้าน Subway จ้ะ อาจหาญเดินไปสั่งมา พูดกะเค้ารู้เรื่องด้วยนะ จะบอกให้ ดีใจจัง เดี๋ยวนี้จูนเขาเริ่มพัฒนาแล้วววว) ตอนกลางคืนพึ่งนึกได้ ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎ นำส่วนผสมของหมูเข้ามาในห้องนี่นา แอบรู้สึกผิด แต่ทำไงได้อ่ะ คิดในใจว่า แล้วเค้าจะรู้ได้ไงอ่ะ มันดูไม่เห็นออกเลยว่าหมูหรือไก่ นอกจากเจ๊ไอ จะต้องมี Radar พิเศษเฉพาะหมู จริงๆ ถึงจะปี๊ดๆๆ detect ได้ เล่าให้พ่อฟัง พ่อบอกว่าตื่นมาตอนเช้าให้รีบไปกินซะนะลูกนะ แล้วก็หัวเราะใหญ่เลย ก็คงต้องงั้นล่ะ อิอิ ไปซื้อของนะ ไปเจอโอรีโอ Orange cream เลยหยิบมาซะหน่อย ปกติก็ชอบอยู่แล้วแต่อันนี้ยังไม่เคยชิม เค้าบอกว่า ปีนึงมีครั้งเดียวเฉพาะ ช่วง Halloween อยากกินป่าว.. ในรูปก็มี Grape Tomatoes อีก ปกติเป็นคนเกลียดมะเขือเทศมากเลย แต่เฉพาะอันนี้อร่อยดีอ่ะจ้ะ ใครที่เกลียดมะเขือเทศเหมือนจูนน่าจะลองชิมดู แล้วก็ชอบจังเจลลี่กับมัฟฟิน ใครที่เป็นห่วงว่าจูนจะไม่ได้กินอะไร ก็สบายใจได้แล้วนะจ๊า.... เอ...ตอนเขียนมีใครหว่ามาทะเลาะกันหน้า Apartment ตรงหน้าต่างห้องเราพอดี ไปทะเลาะกันที่อื่นได้ป่าวค๊า ง่วงงงง แล้ว จูนจะนอน ฮ้าวววว.. บายจ้า

September 26, 2005

แบ่งปัน..ความสุข

ดีใจมากๆเลย แล้วก็มีกำลังใจอยากเขียนต่อไปเรื่อยๆ หลังจากที่ได้อ่าน comments ที่ใครๆมาฝากไว้ และได้รู้ว่าเรื่องราวของจูนได้ช่วยให้กำลังใจและทำให้หลายคนมีความสุขได้ สิ่งที่อยากบอก..คือ ปรากฏว่าสิ่งนี้กลายเป็นอีกความรู้สึกของ'ความสุข'เหมือนกัน ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าเป็นยังไง ตอนแรกจำได้ว่าเขียนแค่ว่า จะดีใจมากถ้าช่วยให้ใครมีกำลังใจเดินต่อไปได้ แต่พอมีจริงๆ แล้วได้มา comment บอกไว้ มันกลับมากกว่าคำว่า'ดีใจ' ที่ตอนแรกเขียนบอกไว้อีกแฮะ มันกลับเป็น..ความสุข..แทน อย่างไม่ได้คาดคิด ก็คงเป็นอีกบทเรียนนึงที่จูนได้เรียนรู้อีกแล้ว ตาม concept การใช้ชีวิตของ To Learn is Happiness .. By June มั้งจ๊ะ ดีจัง เหมือนได้แบ่งปันความสุขร่วมกัน ตามที่มาของการเปิดเวบนี้ ..ได้ แบ่งปัน เรื่องราวความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง สำหรับทุกคนที่จูนรักและรักจูน.. ที่จริงอยากแค่ให้ใครก็ตามที่ได้มาอ่าน มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มกลับไป..แค่นี้ก็ดีใจแล้วอ่ะ เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามถ้ามีใครที่ท้อใจอีก เวบนี้ยินดีต้อนรับ แล้วก็ คลิกกลับไปอ่าน เรื่อง “Shiny June แล้วจ้ะ” ได้เสมอ นะจ๊า.. วันนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ใหม่มาฝาก..นิหน่อยๆ เป็นที่ใส่กระดาษทิชชู่จากกล่องน้ำส้ม (อีกแล้ว)หลังจากได้เคยนำเสนอ ที่ใส่ปากกากับที่ใส่ครีมในตอน 'SurViVal' ไปแล้ว แล้วก็มีฝีมือการหุงข้าวด้วย Microwave มาให้ดูจ้ะ พอไหวมั้ยเอ่ย สำหรับแม่บ้านมือใหม่ อาทิตย์นี้รอดแล้ว ดีใจจัง แล้นก็..ถ้าใครว่างๆ ก็ช่วยมาฝาก comment กันไว้อีกน๊า.. จะได้ดีใจละก็ได้แบ่งปันความสุขให้กันต่อไปเรื่อยๆ "ความสุข เป็นสิ่งที่แบ่งปันให้กันได้..ไม่มีวันหมด.. แต่กลับจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ได้ให้ แต่ข้อแม้คือ..ต้องมาจากใจ ง่ายแค่นี้เองจ้ะ" เป็นสิ่งที่จูนได้เรียนรู้อีกอย่างหลังจากมาที่นี่ เชื่อจูนมั้ยล่ะ ....จูนเองฮับ (@^_^@)

September 23, 2005

Shiny June แล้วจ้ะ

วันนี้ไม่มีอะไรนอกจากรอยยิ้มกว้างๆ ตาตี่ๆ ให้ทุกคนเพราะวันนี้อยากแบ่งปันความสุขให้กับทุกคนที่แวะมาอ่าน ก็วันนี้ Professor ที่นี่ส่งเมล์ไปหาอาจารย์ที่เมืองไทย แล้วก็ Forward ให้เราด้วย.. Subject ของเมล์ที่ส่งไปหาอาจารย์ที่เมืองไทยก็คือ Thanks for sending us (June)! แนะมีเครื่องหมายตกใจด้วยนะ ดูข้อความแล้วมีกำลังใจทำงานมากทีเดียว Professor บอกอาจารย์ว่า..ขอบคุณทุกอย่างที่ได้สนับสนุนให้จูนมาที่แลบนี้ จูนได้เป็น good addition to our group, และตอนนี้จูนก็กำลัง working hard เพื่อให้งานๆนึงสำเร็จ และบอกว่า เมื่อวานนี้ June gave a very nice presentation on her work at our lab meeting.และก็เป็น file งาน.... คือว่าอ่านแล้วมีกำลังใจมากทีเดียว เพราะพึ่งมาถึงที่นี่ 22 วัน มีอะไรหลายอย่างที่ต้องปรับตัว ช่วงอาทิตย์แรกก็มีท้อด้วย ไม่ได้มีความสุขที่ได้รับคำชมไปถึงอาจารย์ที่เมืองไทยหรอก แต่มีความสุขเพราะว่า ฟ้าคงเริ่มสว่างบ้างแล้ว (จริงๆด้วยค่ะ คุณพ่อ) ใครที่สนิทกันคงได้รู้อยู่บ้างว่า ตอนอยู่เมืองไทยจูนค่อนข้างทำงานหนัก (มากกว่าที่นี่หลายเท่า)ที่สำคัญมีคนในแลบกับในภาค 3-4 คน คอยแกล้ง หาเรื่อง บางทีก็ไปใส่ร้ายให้เสียหายในบางเรื่องที่ไม่ได้ทำ เป็นอย่างงี้มาตลอดเกือบสองปี สิ่งที่พ่อสอนคือ "อดทน" ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเค้ากลับไป แต่สักวันเค้าจะได้รับผลกรรมของเค้า อยู่ให้นิ่งที่สุด ตั้งใจทำงานสักวันสิ่งที่ดีๆ ต้องส่งผลให้ลูกได้รับอะไรที่ดี.. จูน..ก็อดทนจริงๆ ไม่เคยไปว่าเค้าให้อาจารย์ฟังทั้งที่เค้าทำกับเรามากมาย ไม่แม้แต่จะเดินไปแก้ตัวทั้งที่ไม่ได้ทำ ไม่เคยพยายามยกว่าตัวเองเก่งแล้ว blame คนอื่นเหมือนที่เค้าทำกับเรา อดทนมาตลอด บางครั้งก็ดูเหมือนอาจารย์จะเชื่อเค้าเหมือนกันเพราะเราไม่เคยพูดอะไรเลย.. หลายครั้งที่ลงไปร้องไห้บน..อกพ่อ.. ว่าทำไมเราต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ทั้งที่เราตั้งใจทำงาน .... มาถึงวันนี้ คงเป็นวันที่พ่อบอกว่า ฟ้ามืดแล้วฟ้าก็ต้องสว่าง แต่ลูกต้องเข้มแข็งและอยู่รอดไปให้ถึงวันนั้นให้ได้ วันนี้คงเริ่มมาถึงแล้ว ต่อให้เราเดินไปบอกความดีความตั้งใจทำงานต่างๆ ของเรามากมาย มันก็เหมือนพูดเองเออเอง มันก็คงไม่เท่า Professor ที่นี่ ที่อาจารย์เราเชื่อมือเป็นคนบอกเอง อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ถ้ามันจะเป็นไปได้ ก็แค่อยากให้เรื่องนี้เป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เข้ามาอ่าน ถ้ามีใครมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แต่กำลังท้อ อยากบอกว่า "อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้าไม่เป็นใจ อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย หากไม่รู้จักเจ็บปวด ก็คงไม่ซึ้งถึงความสุขใจ" ดูจูนสิ เจออะไรมาเยอะมากเลยนะ เกือบสองปีแน่ะ แต่จูนก็อดทนจนผ่านมันมาได้ และน่าจะได้พบกับสิ่งที่ดีกว่าเดิมหลายเท่าด้วย (หมายถึงคน สภาพแวดล้อม ในการทำงาน)ถ้าวันนั้นจูนล้ม หยุด และยอมแพ้ ลาออก จูนก็คงไม่ได้มีวันนี้ใช่มั้ย อยากบอกว่าความสุขในวันนี้ มันเป็นความสุขที่แท้จริงมากกว่าการเดินไปทำร้ายเค้ากลับหลายเท่า เพราะการทำร้ายเค้ากลับไป มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย มันได้แค่ความสะใจซึ่งไม่เรียกว่าความสุขเลย และวันนี้จูนก็อยากแบ่งความสุขนี้ให้กับทุกคน ถึงวันนี้จะยังไม่ใช่วันที่ประสบความสำเร็จ และก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปต้องเจออะไรอีกบ้าง อาจต้องเจองานที่หนัก และยากกว่านี้ อาจจะมีอุปสรรคที่ยากอีกก็ได้ แต่การเริ่มต้นดีดีสำหรับ 22 วันแรกที่นี่ ก็ทำให้มีกำลังใจมากทีเดียว ถ้าเรื่องนี้จะมีส่วนช่วยให้ใครมีกำลังใจเดินต่อไปได้ จูนจะดีใจมากมาก และก็คงขอยกความดีทั้งหมดให้พ่อกับแม่ที่คอยสั่งสอนให้อยู่ในลู่ในทาง เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะเป็นคนดีเหลือเกินตลอดเวลา จูนก็เป็นคนธรรมดามีโกรธ มีเกลียดเหมือนคนอื่น แต่พ่อกับแม่ต่างหาก ที่จะคอยเตือนสติ ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง.. ขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่เข้ามาตลอดสองปี และทำให้จูนเป็นคนที่เข้มแข็งมากขึ้น .. พ่อบอกว่า ต่อไปนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ลูกจะได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ คนที่ดีๆ.. ใครที่ไม่ได้รักเราจริง..ไม่จริงใจ สักวันเค้าก็ต้องแพ้ภัย ห่างไป ติดต่อ ทำร้ายเราไม่ได้อีก แต่...ลูกต้องต้องรักษาสิ่งดีๆ และอดทนต่อไป... จูนจะเชื่อคุณพ่อนะคะ(@^_^@).. ขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อหนุ่ยกับแม่หมู แม้จะมีบางครั้งที่ก็ยังดื้อและเถียงไปบ้าง แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโกรธ ความรักอันนี้ล่ะมั้งถึงจะเป็นความรักที่บริสุทธิ์แท้จริง จริง จริง.... อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ "ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่..เฝ้ารอ" นะจ๊า....... (@@^__^@@) อยากยิ้มกว้างๆ สองเขี้ยว ตาตี่ๆ ให้ทุกคนอีกทีจ้า รักทุกคน..หมดเลย

September 21, 2005

ไปรษณีย์..ลึกลับ!!!!

เรื่องนี้..เหตุเกิดเมื่อวันอังคาร ปกติที่นี่ ถ้ามีพัสดุไปรษณีย์มาชนิดว่าใหญ่โตโอฬาร เค้าก็จะเขียน note ไว้ใน mail box เราว่า ชื่อนี้ห้องนี้มี package ให้ไปรับที่ officeด้วย ก็เคยมีพี่สาวส่งมือถือ แล้วก็ของกินของใช้มากมายมาให้ (ตั้งกะมะม่วงแช่อิ่มยันกระชอนเลย จริงๆนะ มาดูจิ)เราก็จะโทรคุยกันตลอดว่าส่งมาแล้ว ทีนี้วันจันทร์เราก็ได้ message ทิ้งไว้ว่ามีอีก package คุยกะพี่สาวแล้วก็ว่ายังไม่ได้ส่งอะไรมาเพิ่ม คิดว่าต้องส่งผิดแน่เลย แต่ก็กลับเย็น.. office ของ apartment ก็ปิดแล้ว (เปิดแค่ 8AM-4.30PM)เลยต้องรอวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็ plan ทำ lab 7 โมงเช้า กว่าจะกลับไปดูก็บ่ายสาม เออ ของเราจริงแฮะ ชื่อเรา แต่ไม่มีชื่อคนส่ง ใครนะส่งอะไรมา กล่องก็ดูสวยแปลกตา มากกว่าไอ้กล่องสีนำตาลทั่วไป และต้องตั้งกล่องเป็นอย่างดีกว่ากล่องคนอื่น สรุป ก็งงๆๆๆ ขึ้นห้องมาเปิดดู..ก็ยิ่ง งงๆๆๆ เป็นช่อดอกกุหลาบ..กับตุ๊กตาหมีน่ารัก 1 ตัว ก็งงๆๆ แล้วก็งงๆๆ คือ เกิดมาเนี่ยนะ ดอกไม้ก็เคยได้เป็นช่อบ้างเป็นดอกบ้าง แต่ก็ได้กะมือ เพราะฉะนั้นก็รู้ว่าใครให้ แต่แบบว่าส่งดอกไม้สดใส่กล่องมา ละมีตุ๊กตาหมีด้วยนะ แบบนี้มันต้องส่งผิดแน่ๆ แต่ เอ สะกดชื่อ นามสกุลที่อยู่ถูกเด๊ะ หมดเลยอะ งงๆ เลยเดินไปหาเจ๊ไอ knock knock.. บอกเจ๊ไอว่า ช่วยมาดูนี่หน่อย เคยได้มั้ย มันส่งผิดรึป่าว รึว่าเป็นของแถม เจ๊ไอเห็นก็ตื่นเต้น เช็คดูว่า June, it's yours. ไม่ได้ส่งผิดแน่ๆ เจ๊ไอดูตื่นเต้นกว่าเจ้าของดอกไม้ซะอีก เพราะเรายังงงอยู่ ยังไงมันต้องส่งผิดแน่ รึไม่มันคงเป็น Promotion จากอะไรซักอย่าง เจ๊ไอบอกว่าไม่มีทาง นี่เป็นบริษัทส่งโดยเฉพาะ เธอร้อง Wow, it's supposed to be a man sent you. อืมมมม งงๆๆ ไม่มีทางอ่ะ ตอนนี้แควนก็ไม่มี (เมื่อไหร่จะมีใคร ใครสักคนนะ ที่รักเรา เท่านี้ที่ต้องการ ขอเกินไปตรงไหน เอาเพลงเสนาหอยมาซะหน่อย แต่ว่าตอนนี้มีเพลงไรใหม่มั่งอ่ะ ไม่ได้ updateเลย ต้องฟังแต่เพลงแขกที่เมทเปิดอ่ะ :( )ตรงผู้ส่งก็มีแต่ customer service เจ๊ไอบอกว่าให้โทรถาม อืม ตอนนี้อ่ะนะ จะพูดกะเค้ารู้เรื่องมั้ยเนี่ย ให้เจ๊ไอโทรดีกว่า เธอเลยบอกว่า ก็ได้ งั้นเธอจะแกล้งทำเป็น June นะ ระหว่างที่เธอกะลังกด เราก็เลยค้นๆๆๆ ก็ไปแอบเจอการ์ด ถูกทับอยู่ใต้ชั้นกระดาษ มีข้อความอยู่..น่ารักมาก และก็ให้กำลังใจกัน.. ในที่สุด ก็เห็นชื่อลงท้ายในการ์ดซะที.. รู้แล้วว่าของใคร น่ารักจริงๆ เลย ขอบคุณน๊า :) แล้วจะจดจำไว้เลยว่า ได้รับดอกไม้ทางไปรษณีย์พร้อมกะหมีน้อยน่ารัก ครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกา ถ้าไม่จำใจมา ก็คงไม่ได้รับรู้อะไรต่อมิอะไรที่ซ่อนอยู่ น่ารักมากมายขนาดนี้.. ใครเป็นคนส่งอันนี้ติดต่อเป็นการส่วนตัวละกันนะจ๊า เผื่อผู้ส่งไม่ประสงค์จะออกนาม เสี่ยเลี้ยงค่ะ.. ตอนนี้เลยเอามาจัดไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน น่ารักป่าว อืม ขออธิบายเพิ่มจิ๊ดนึงเผื่อบางคนไม่รู้ แพคเกจที่ส่งนะเค้าก็จะมี cold pack โปะให้ดอกไม้สดชื่นด้วยนะ ละก็น่ารักมาก มี Flower food ด้วยนะ (ซองเขียวในรูปอ่ะ) ดีนะที่เขียนบอกว่าอาหารดอกไม้ น่ารักมะ ไม่งั้นล่ะ นึกว่า June food ไปแล้ว อิอิ.. อืมมม ขอบคุณ ขอบคุณใครที่ยังคอยนึกถึงและเป็นห่วงเสมอ ขอบคุณใครที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยทอดทิ้งไปไหน (ไม่เหมือนใครก็ไม่รู้ ล้อเล่นนนน)จบจ้า..

September 19, 2005

เรื่องของ RooMmAte!!

เรื่องนี้คงมีบางคนคอยติดตามอยากรู้อยู่แน่เลย เรื่องก็มีอยู่ว่าเธอคนนี้อายุ 24 (ขอเรียกเธอว่า เจ๊ไอ ชื่อย่อจากตัวแรกของชื่อเธอ) เป็นสาวชาวตุรกี เรียน Ph.D ปีสาม Economic จับพลัดจับผลูอยู่ที่นี่มาสามปีต้องหา Roommate ใหม่ และผู้โชคดีที่ย้ายเข้ามาใหม่คนนั้นก็คือ..จูน.. จูน..เด็กหญิงตัวกลมจากเมืองไทย กับข้าว งานบ้านไม่เคยทำ แล้วเราก็ต้องมาพบรักกัน (รักกันมากกกก ปานจะกลืนกิน) week แรกจูนมาถึง เจ๊ไอยังไม่มา เพราะเธอปิดเทอม กลับบ้าน พอ Sep'7 เจ๊ไอกลับมาพร้อมกับกระเป๋าสามใบโตโอฬาร June said" Nice to meet you, I'm June" เจ๊ไอ ..ทำหน้าหงุดหงิด "Me too, Rochester is very very terrible. Blaa blaa blaa...." เป็นชุด โอมายก้อดดด ดญ.จูน ผู้ซึ่งกะลัง in trend, home sick and lonely ละต้องมาเจอ เจ๊ไอ ในอารมณ์นี้ ตูจะกลับเมืองไทยดีมั้ยหนอ เธอดูหงุดหงิดๆๆๆ และหงุดหงิดจริงๆ พอ weekend เจ๊ไอมาขอคุยด้วย เรื่องการแชร์ค่าใช้จ่ายต่างๆ เธอบอกว่าอยู่กะฉัน มันมีกฏ 3 ข้อ No boy, No alcohol and No pork !!!! เออ.. 2 ข้อแรก ฉันก็ OK ฉันก็ว่าดีเหมือนกัน แต่ไอ้ข้อสุดท้ายนี่มันอะไรฟะ ไม่กินแล้วยังห้ามคนอื่นอีก คือแบบ ฉันไม่กินเนื้อ แล้วจะให้ฉันกินอะไร คือว่าห้ามแม้แต่เอาหมูและอะไรที่มีส่วนผสมของหมูเข้ามาในห้องนะ (จนตอนนี้พี่สาวแนะนำให้ ซื้ออะไรจำพวกหมู แช่ตู้เย็นของแลบไว้ แต่คิดว่าเพื่อนในแลบก็คงเห็นใจ และรู้ว่าจูน จะซ่อนหมูไว้ที่แลบ เพื่อหลบภัย และไว้กินในเวลาที่อยากกินจริงๆ ปล. ทั้งแลบทุกคนรู้หมด ก่อนจูน จะมาอีก ว่าจูนจะเจอเมท 3 กฏ) เรานะอุส่าห์บอกเจ๊ไอว่า ปกติเรากินนะ แต่โอเค For you, I'll adapt and do it. เจ๊ไอไม่สนใจแต่อย่างใด เธอบอกว่า I don't care. I told N.(Professor เราเอง)before. So, it's not my fault. It's N's fault. แนะ มีการยกความผิด ให้อาจารย์เราอีก.. ถ้าเราอยู่กะกฏนี้ไม่ได้ ก็ย้ายออกไป อ้าว ได้ไงก็ฉันจ่ายเดือนนี้ไปแล้วอ่ะ คุยกันเรื่องค่าห้อง เธอบอกว่าคนละ 349 แต่ Professor เคยบอกว่า 500 เลยถามเจ๊ไอว่า Total เท่าไหร่ เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ให้ลงไปถามใครก็ได้ถ้าไม่เชื่อ ช่างมองโลกแง่ร้าย ซะนี่กระไร เลยต้องรีบบอกเธอไปว่าเรากลัวว่าเธอออกเยอะกว่ารึป่าว เห็นอาจารย์เคยบอกเท่านี้ เธอทำหน้าตกใจแล้วเปลี่ยนสีหน้าทันที คงคิดว่า บนโลกนี้มีแต่คนเอาเปรียบกัน ต่อมา เจ๊ไอ ไม่ยอมแบ่งจานให้ใช้อีก บอกว่าไปซื้อเอาเอง โชคดีที่มีน้องคนไทยที่นี่ น่ารักมาก ขับรถ เอาจานช้อน มาให้ก่อน เชอะ ไม่ง้อก็ได้ .. เซ็งๆๆๆ จนต้องไประบายให้พ่อฟัง พ่อก็สอนว่า..ให้เป็นคนดี มีน้ำใจนะลูกนะ เราต้องเริ่มเป็นฝ่ายให้แก่เค้าก่อน มีอะไรก็ช่วยเค้า แสดงให้เค้าเห็นนะลูก แล้วเค้าก็จะดีขึ้นเอง คนดีก็ต้องได้เจอะกับคนดี..!! ในใจคิด(จูนไม่ใช่นางฟ้านะคะคุณพ่อ ทำไมจูนจะต้องมาทำดีและทนให้ใครก็ไม่รู้ด้วยด้วยล่ะ ) อ่ะ แต่ลองทำดูก็ได้ ยังไงเดือนนี้ก็ต้องอยู่ .. เริ่มตั้งแต่เห็นเจ๊ไอกะลังจัดข้าวของ ทำความสะอาดห้อง Can I help you anything? เธอตอบ For what..!! เออ ไม่ช่วยก็ได้ ยัยบ้า (ตอนนั้นโกรธมาก), เจ๊ไอจัดการแบ่งสรรปันที่มากมาย คนละครึ่ง แต่ไม่เห็นเคยถามเลยว่าเราอยากได้ครึ่งไหน แต่เออ ไม่เป็นไร พอดีไอ้ครึ่งนั้น ฉันอยากได้พอดี อยู่ไป ๆ เราเริ่มรู้สึกว่า เจ๊ไอเป็นคนใจแคบจัง เคร่งครัด มองโลกก็แต่แง่ร้าย สนใจแต่ความต้องการของตัวเองคนเดียว คิดจะย้ายออกแต่ติดเรื่องเอกสาร ขี้เกียจไปแจ้งย้ายที่อยู่ให้ยุ่งอีก ก็ต้องอยู่ไปก่อน.. ติ๊กต่อกๆๆ ต่อมา เห็นเธอขนถุงขยะกระดาษ ออกมาเพียบ รกไปหมด เลยบอกว่า จะช่วยเอาไปทิ้งให้นะ เธอทำหน้า Shock มากกก เลยบอกเธอว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย เราอยากอยู่แบบเพื่อนกัน คุยกัน ฉะนั้น We can help each other. เรื่องนิดเดียว อย่าคิดมาก ถ้า you คิดว่าใครเป็น"เพื่อน" you ก็จะทำให้ได้ โดยไม่ได้คิดอะไรมาก, วันต่อมาเราก็เป็นฝ่ายยิ้มให้เค้าก่อน แล้วก็เปิดตัวเองให้เค้าได้รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ลูกใคร ไม่ได้เป็นกะเหรี่ยงตกเขานะ จะบอกให้, พอมีไรที่คิดว่าต้องใช้ด้วยกัน เช่น น้ำยาทำความสะอาดบ้าน ก็เดินไปบอกเจ๊เลยว่า อ่ะ เรา share ให้ ให้เค้าเห็นว่าเราไม่คิดจะเอาเปรียบเค้านะ, แล้วก็ค่อยๆบอกว่า พ่อเราสอนให้อยู่ง่ายๆ ให้มีความสุขกับคนที่อยู่ด้วย.... มาถึงตรงนี้อาจมีคนถามว่า ทำไมต้องทำ เป็นใครคงย้ายออกไปกันแล้วทั้งนั้น คำตอบคือ เพราะอีกใจ มันก็ท้าทาย รู้สึกอยากเอาชนะใจเธอให้ได้เหมือนกัน ที่ภาคที่เมืองไทย เจออะไรร้ายๆ กว่านี้มาแล้ว ทำไมแค่นี้จะทำไม่ได้.. ลองไง อยากทำก็ทำ ไม่อยากก็ไม่ทำ เพราะฉะนั้นก็ไม่เหนื่อย อีกใจก็อยากจะพิสูจน์คำสอนของพ่อ (อีกแล้ว เหมือนคำสอนเรื่อง ฟ้ามืดเลย)พ่อมักบอกว่า เชื่อในสิ่งที่พ่อบอกเถอะลูก แล้วลูกจะได้พบแต่สิ่งที่ดีๆนะ เพราะพ่อแม่จะสอนลูก บอกลูก ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่เคยมีความคิดที่หวังร้าย ..อ๊ะๆๆๆ.. พฤหัสที่แล้ว อยู่ดีๆ เจ๊ไอ เธอเดินเอา ท๊อฟฟี่ ตุรกี มาแบ่งให้สามเม็ดนะ จะบอกให้ ตกใจถึงขนาดต้องถ่ายรูปมาให้ดูทีเดียว,ถามว่าเธอทำอาหารอะไร เธอเป็นฝ่ายบอกให้เราลองชิมด้วย, แล้ววันที่ซักผ้า เจ๊ไอก็ตัดสินใจลงไปสอนใช้ตู้อบผ้าเชียวนะ เพราะเดี๋ยวยัยจูนจะหยอดไปหมด 25 เหรียญ, ทุกวันนี้เธอก็เริ่มยิ้มให้ บอกว่าอยู่ที่นี่เราจะทำอะไรแก้เหงาได้บ้าง.. อืมมมม จะเป็นไงต่อไปอีก คำสอนของพ่อจะเป็นจริงรึป่าว ..คงต้องใช้เวลาพิสูจน์คน.. ก็คงต้องติดตามกันต่อไป นะคะท่านผู้ชม เพราะจูนเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เพราะพึ่งสองอาทิตย์เอง ไว้ถามไถ่กันเข้ามาอีกทีแล้วกันจ้ะ บ๊าย บาย

คุณแม่บ้าน..จูน

มาแล้นจ้า หายหน้าหายตาไปสองวัน แบบว่ากลับดึก วันศุกร์ไปทานอาหารอินเดียมากับอาจารย์ที่นี่ที่เป็นเพื่อนกับอาจารย์ที่เมืองไทย แล้วก็พาไปซื้อของเข้าบ้านสำหรับอาทิตย์หน้าแล้วก็ช่วยขนขึ้นมาส่งที่ห้องด้วยล่ะ (สงสัยอยากเห็นหน้าเมท ว่าเป็นยังไง เพราะทุกคนที่ภาคได้ยินชื่อเสียงกันหมด ตั้งแต่ก่อนเราจะไปซะอีก) รู้สึกทราบซึ้งมากเลย เลยขอกอดไปหนึ่งที :) เพราะไม่คิดว่าแกจะเป็นห่วง ส่วนเมื่อคืนไปปิคนิคของแลบ ที่บ้าน Professor จ้ะ กลับดึกอีกเหมือนกัน เลยสลบบบ .. Rochester นะ ก็เป็นเมืองที่สงบมากๆ เล็กจิ๊ดเดียว ดู bus stop เดะ เล็กๆ เก่าๆ มองแทบไม่เห็นอ่ะ ก็ทุกคนมีรถไง ระบบขนส่งเลยไม่พัฒนา มีแค่เนี้ย รถก็แสนนานจะมาที ถ้ายืนรอทีก็คงหัวตั้งเลยอ่ะ กว่าจะได้ขึ้น ตอนแรกมา ก็ไม่ค่อยชินเท่าไร Shock ไปสี่วัน ที่ไม่สามารถออกไปไหนเองได้.. ถ้ามีคำถามว่า ต้องเลือกอยู่เมืองนึงนะ ระหว่างเมืองที่สามารถไปซื้ออะไรเองเมื่อไหร่ก็ได้ ทันสมัยสุดฤทธิ์ แต่ทุกคนตัวใครตัวมัน กับอีกเมือง ที่แสนจะธรรมดา คนไทยก็ไม่ค่อยมี แบบว่า country จริงๆๆๆ จะไปซื้อของทีก็ต้องรอคนอื่นไป เพราะไม่มีรถ แต่มีคนที่เป็นห่วงเรา ว่าจะอยู่ได้มั้ย สอนว่าเลือกของยังไงเวลาซื้อ จะเลือกอยู่เมืองไหนกันจ๊ะ ???? อ่านแล้วอย่าลืมตอบมาบ้างนะ คิดถึงจ้า.. อยู่ที่นี่ก็ตื่นพอๆ กะที่นู่นบางทีตื่นเช้ากว่าอีก อาจจะตี 5-5.30 แล้วแต่ว่าเรียนหรือทำแลบกี่โมง อาบน้ำเสร็จก็มาทานอาหารเช้า ละก็อุ่นอาหารสำหรับกลางวัน ที่จะเอาไปกินที่โรงเรียน ไปเรียน ทำแลบ พอ 5-6.30 PM ก็เดินกลับบ้าน ทานอาหารเย็น แล้วก็ทำอาหารให้พร้อมสำหรับเวฟกินพรุ่งนี้เช้า กับกลางวัน จากนั้นก็ไปอาบน้ำ ทำการบ้านนิดหน่อย โทรศัพท์อีกนิดนึง แล้วแต่ว่าใครโทรมาหา แล้วก็นอนอ่ะจ้ะ ก็จะเป็นแบบนี้ทุกวันเลย อาหารที่ทำก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่หุงข้าวเอาไว้ กับก็แล้วแต่วัน.. เสาร์ อาทิตย์นี้เป็นวันหยุด ก็มาได้สองอาทิตย์แล้วนะ ไม่น่าเชื่อ เร็วมาก จนนึกว่าแป๊บเดียวเอง ก็ถึงเวลาต้องสะสางงานบ้านแล้ว ตั้งกะเมื่อวานเช้านะ (วันเสาร์) ตื่นมาก็ทำอาหารไป join picnic เสร็จแล้วก็ทำความสะอาด Apartment ซึ่งได้ตกลงกับเมทไว้แล้วว่า ผลัดกันคนละอาทิตย์ ห้องน้ำและทุกห้อง ยกเว้นห้องนอน ของใครของมัน ที่นี่เค้าก็มักจะผสม Chorox ในการทำความสะอาดกัน ด.ญ.จูนล่ะก็ คิดถึงพี่น้อยจริง จิ๊งงง แต่ก็สนุกดีนะ แต่มือแตกเลยอ่ะ :( ง่ะๆๆ ..ตอนแรกนะ ก็กลัวว่าเดี๋ยวฉันทำไม่สะอาดเท่าเมทนะ เธอต้องโวยวายแน่ แต่ก็ขอบอก.. มั่นใจนะฮะว่าทำสะอาดพอกัน รึอาจจะสะอาดกว่าด้วยน๊า แต่ก็เหนื่อยแทบแย่อ่ะ เจ็บมือหมดเลยอ่ะ ก็เป็นครั้งแรกแบบจริงๆจังๆ ขนาดนี้อ่ะ (ออกแนวพัฒนาการช้าไปนิดนึงมะ กวาดบ้านถูบ้านเอง เป็นเรื่องเป็นราว ตอน 26 ขวบเนี่ย) ไปปิคนิค กลับมาเลยสลบเป็นตาย.. วันนี้ตื่นมาก็สายหน่อย เหนื่อยฮ่ะเหนื่อย ไม่เคยทำงานบ้านเองฮ่ะ (น่าหมั่นไส้เนาะ แต่ก็สงสารมันเฮอะ) แล้วก็ไปซักผ้า เพราะสะสมมาสองอาทิตย์แล้ว ละก็จะได้คุ้มค่าหยอดเหรียญด้วย ก็ลงไปใช้ washing machine แล้วก็อบแห้งฮ่ะ (ก็อ่านต่อไป..เฉพาะใครที่ยังอยากรู้เรื่องราวที่นี่ละกันจ้ะ)ก็หยอดไป 2-3 เหรียญ แล้วแต่ขนาดตู้ ใส่ liquid detergent 2 ช่อง สำหรับ pre and main wash ละก็ เอาผ้าออก ไปใส่ตู้อบแห้ง อีกประมาณ 1 เหรียญแล้วแต่เราต้องการแห้งแค่ไหน ฉะนั้นก็ต้องไปแลกเหรียญจากธนาคารมาก่อนใช่ป่าว เพื่อไว้หยอดตู้ ก็เมืองเค้าไม่ค่อยมีแดดเหมือนบ้านเราอ่ะ เลยต้องมีตู้อบแห้ง (กะไว้อยู่ว่าวันไหนหนาวมากๆ จะเข้าไปนอน ขดกลมๆ หมุนตัวเขย่าไปมาอยู่ในนั้นอ่ะ) ลงไปนะก็แบบว่าตั้งใจอ่านวิธีใช้หน้าตู้สุดฤทธิ์ ว่าต้องใส่อะไรตรงไหนมั่ง บุญพาวาสนาส่ง เพื่อนชาวเกาหลีเดินผ่านมาเลยมาบอก trick เพิ่ม มีแอบช่วยลุ้นให้ด้วยนะ พอมันปั่นเท่านั้นล่ะ เธอแซวบอกว่า You are success, yessss.. สงสัยรู้ว่าเป็น First time.. แล้วก็รอเวลา เดินต๊อกๆ กลับขึ้นห้อง พอขึ้นมา สักพักจะลงไปใหม่ นึกได้ว่าเหรียญไม่พออบแห้ง เลยไปถามเมท เธอก็งง บอกว่า ทำไม you จะมีไม่พอ ที่มีเนี่ยมันพอแล้วนะ ก็ตู้ซักมันโชว์เลข 8 กับ 12 เป็นจำนวนเหรียญที่ต้องใส่อ่ะ แล้วตู้อบมันโชว์ 25 อ่ะ แต่ปรากฏว่าอันนี้เป็นเลขนาที ก็จะไปรู้ได้ไงอ่ะ เมทเลยบอกว่า เดี๋ยว I will go with you. เป็นไงล่ะ SuRpRiSeD !!! เดะ ไม่คิดว่าเธอจะยอมไปด้วย (อันนี้เดี๋ยวบอก trick อีกที ที่พ่อสอนนะ ว่าเกิดไรขึ้น)คือว่าตู้อบนะ 1 เหรียญ Quater (25 cent) อบได้ 7 นาที คิดดูจิว่า ถ้า ดญ.จูน น่ารักมาก หยอดเข้าไป 25 เหรียญ มันจะอบไปกี่ ชม. ผ้าคงหดเท่ากางเกงในซุปเปอร์แมนกันหมดพอดี เสร็จละ เอาผ้าออก ขึ้นห้อง เก็บผ้า เป็นอันเสร็จไปอีก 1 งานคุณแม่บ้านจ้ะ จบดีก่า รูป Machine ไม่ต้องลงละกันเนาะ ลงไปถ่ายเดี๋ยวเค้าจะว่าบ้า อิอิ อายยยย ส่วนดอกไม้น้อยเนี่ย เอามาฝากเฉยๆ เห็นมันมีอยู่ทุกหย่อมหญ้า จริงๆนะ แค่ถ่ายอันเนี้ยเค้าก็คงว่าบ้า แล้วเหมือนกัน เอาน่ะ บ้าก็บ้า

September 15, 2005

Coworkers

เฮ่อ เบื่อจัง มีเมล์จากคนๆ นึงนะ ไม่ค่อยอยากจะเปิดเลย เปิดอ่านทีไรต้องปวดหัวทุกที (ไว้บอกอีกทีนะ ว่าใคร) วันนี้ก็เหมือนกันอ่านแล้ว ปวดหัวจี๊ด..จนต้องมานั่งเขียนบล็อก relax ดีกว่า..ติ๊กต่อกๆ เขียนไรดีน๊า เอาเป็นว่า เขียนเรื่องในแลบดีกว่า.. มีเพื่อนร่วมแลบเยอะแยะมากเลย เป็นแลบที่ใหญ่จัง มีหลายเชื้อชาติด้วย ก็มีทั้งนักวิทย์, Ph.D student(เหมือนเราเอง)ละก็ Post-Doct (ก็คือ จบเอกแล้วมาทำงาน).. June's office ก็จะอยู่ติดห้อง Professor เลย ฉะนั้น อย่าได้แอบหลับเป็นอันขาดไม่งั้นอาจถูกเขกหัวได้ ส่วนนักเรียนคนอื่นก็อยู่รวมกันตามห้องป็นหย่อมๆ ที่นี่เค้าก็ทำงานเวลาเหมือนบ้านเรา แต่ไม่เห็นมีใครทำจนอดหลับอดนอน สงสัยเน้นคุณภาพมากกว่า หกโมงครึ่งก็เงียบแล้วอ่ะ นักศึกษาก็เหมือนกัน มีการแอบดูว่า Professor กลับยัง ถ้ากลับแล้วจะได้แอบกลับบ้าง อิอิ อเมริกาก็มีด้วย.. ยัยจูนเค้าก็จะมีเพื่อนร่วมห้องทำงาน 1 คน ชื่อ David พึ่งเข้ามาพร้อมกัน เป็น Post-Doct ชายฉกรรจ์ชาวไนจีเรีย!! (กลัวกันใหญ่เลยล่ะสิ) เค้าก็ไม่มีไรน่ากลัวหรอก (เท่าที่พึ่งรู้จักนะ) แต่วันแรกกลัวเค้าไปเองแล่ะ เพราะยังไม่คุ้นเคยกับสีผิวเค้าไง อันนี้ไม่ได้เป็นการเหยียดสีผิวแต่อย่างใดนะ แต่รู้ใช่ปะว่าคนไทยเราจะชอบขู่ไว้ก่อน ว่าให้ระวังคนผิวมืดอ่ะ จริงๆ แล้ว สำหรับคนนี้นะ เค้าก็เหมือนพวกเรานี่แล่ะ.เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งตัดสินคนที่สีผิว ต้องค่อยๆ ดูไปก่อน ช่วงแรกที่เข้ามานะ Professor ก็ให้สมุดฉีกเรามาหนึ่งเล่ม แล้วมีวันนึง David เค้าอยากใช้บ้าง ก็เลยพาเค้าไปดูสวัสดิการของแลบ แต่มันก็ไม่มีแบบนี้ เราก็เลยบอกเค้าว่า ไม่เป็นไรหรอก ใช้ของเราก่อนก็ได้ เราแบ่งให้.. คนไทยมีน้ำใจอยู่แล้วเป็นธรรมดาใช่ป่าว พอยื่นให้เท่านั้นแล่ะ David มีแววตาเปล่งประกาย บอกว่า You are very kind, such a kind!!. ดญ.จูนเลยงงไปสามตลบ และได้เรียนรู้ว่า บางทีแค่การแบ่งสมุดฉีกให้ใช้นี่ มันก็ยิ่งใหญ่ เป็นวีรกรรมของบ้านเมืองได้เหมือนกัน.. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา David มีอะไรก็จะเริ่มช่วยเหลือบ้างตามสมควร เพราะรู้ว่ายัยเอ๋อเนี่ย ยังฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่อง มีครั้งนึงไปเรียนด้วยกัน David ก็ต้องรีบบอกว่าหน้าไหนแล้ว เพราะไปเรียนช้ากว่าเค้าอาทิตย์นึง ก็เลยได้ประกาศความมีน้ำใจประจำชาติไทยไปหนึ่งราย ด้วยเรื่องจี๊ดดดด เดียวจริงๆ นะ.. เพื่อนคนอื่นก็ดีใจที่มีคนไทยมา ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะบางคนเค้าชอบอาหารไทยมากไง เค้าคงฝากความหวังอะไรบางอย่างไว้กับ June ช่างเป็นโชคดีของเค้าซะนี่กระไร ที่คนไทยคนนั้นคือ..จูน.. ผู้ซึ่งทำกับข้าวเก่งมากกกก แค่ทำให้ตัวเองกินยังแทบแย่อยู่ทุกวัน เฮ่อ..มีดก็บาด เปิดกระป๋องมันก็ยังแย่งกันบาดอีก อะไรกันเนี่ย ไม่เป็นไรไว้สักวันจะหัดทำให้กินให้ได้ ก่อนกลับนะ..จบจ้ะ รูปบนเป็นตึกที่เรียน อยู่ใน Hospital นี้อ่ะแล่ะ เค้าบอกกันว่ามีชื่อทีเดียว แต่เสียดายไม่ค่อยมีสัญญาณ ต้องใช้มือถือส่องหาเหมือนเล่นซ่อนแอบยังไงยังงั้น อันอื่นเป็นอพาร์ทเมนท์เจ้า..เดี๋ยวรูปในห้องไว้ส่งเป็นการส่วนตัวอีกทีนะจ๊ะ เขิน แต่ใครที่ on MSN คงเห็นบ้างแล้วเนาะ

September 13, 2005

PLEASE READ THIS !!


คือว่า ที่รักทั้งหลายคะ เวบเนี้ยอ่านเสร็จแล้วมัน Share comments กันได้นะ คือว่ายัยจูนก็จะได้รู้ไงว่ายังมีใครอ่านอยู่รึป่าว เดี๋ยวเขียนอยู่คนเดียว เขินแย่เลย ล่าสุด มีรายงานแจ้งมาว่า มีใครคนนึงอยากจะ comment มาก เขียนเสร็จแล้วตั้งยืดยาวปรากฏว่าไม่ได้ ไม่เป็นไร ยังไงก็ดีใจมาก ได้ข่าวว่ามีการแอบเผาคนอื่นด้วย ซึ่งถ้าทำได้คงสนุกทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่อยากถูกโจมตีฝ่ายเดียว รีบมา learn to share comments กันเถอะ..อย่างแรกเลยนะ ก็ต้องมีสมบัติของตัวเองก่อนคือ Username กับ Password ซึ่งสามารถเข้าไปสมัครและเซ็ตได้ที่ www.blogger.com จากนั้นก็จำมันมาใช้ ก็คือ ทุกเรื่องที่เขียนไป อยากแชร์เรื่องไหน ข้างใต้แต่ละเรื่องจะมี share comment
ให้คลิกไปตรงนั้น แล้วก็..ระบายๆๆๆ อะไรก็ว่าไปในบล็อก แล้วก็คลิก login and publish โดยปกติน่าจะได้เลยนะ แต่ถ้าไม่ได้ เค้าจะให้ใส่ username กับ password ที่สมัครตอนแรก ก็แค่นั้นแล่ะ.. เป็นอันเสร็จพิธี ง่ายจี๊ดเดียว มัวช้าอยู่ใย ลองดูๆ เราจะได้โต้ตอบกันได้เป็นหมู่คณะ หรือแบบเครือญาติไง ไม่งั้น เหมือนนั่งเล่าอะไรอยู่คนเดียวก็ไม่รู้แล่ะ อ้อ แล้ว comment ที่ถูกลบไปแล้วนะ ลบไปเพราะมันเป็นออโต้พวกโฆษณาจ้ะ เพราะมีคนถามมาว่ามี something รึป่าว.... ต่อมา แบบว่ามีมือถือแล้ว ได้รับความอุปการะคุณ..มือถือไฮโซ..นี้จากพี่สาวที่น่ารัก (แบบว่ารุ่น Top ของที่นี่นะ พึ่งรู้ตอนที่เพื่อนในแลบบอกว่าอยากได้ เลยต้องรีบบอกไปว่า ไม่รู้หรอก พี่สาวซื้อให้เพราะเป็นห่วง เดี๋ยวเค้าจะว่าเอาว่าใช้ของแพง)คือว่าที่นี่ เค้าจะสั่งของกันทางเนตนะแล้วก็มาส่ง แล้วก็เปิดใช้กันง่ายๆ ซะงั้นแล่ะ ค่าบริการนะฮะ เหมาจ่ายรายเดือน เกือบ 50$ ภายในไม่เกิน 600 นาทีต่อเดือน โทรเข้าโทรออก เป็นเก็บนาทีหมดซะงั้น แต่ไม่ต้องห่วง ทางเรามีช่วงโปรโมชั่น คือเวลา USA นะคะ สามทุ่มถึงหกโมงเช้า ไม่เก็บนาทีค่ะ ละก็เสาร์ อาทิตย์ก็ไม่เก็บ.. ตอนนี้ก็เริ่มมีผู้เข้ามาใช้บริการประปราย มีทั้งโทรสายด่วนและส่ง sms มาหา ขอบคุณนะจ๊ะ ชอบๆ เดี๋ยวส่ง sms ได้แล้วจะส่งกลับไปนะ ก็ต้องลองคำนวณเวลาดู คือเมืองไทยเร็วกว่าที่ Rochester 11 ชม. ลองหักลบเวลาดูจ้ะ แต่เวลาอื่นก็โทรมาได้นะ..จะบอกให้.. เอาเป็นว่าจบเรื่องราวความ Hi-Tech ไว้เพียงเท่านี้สวัสดีค่ะ .. อืมมม คุณพ่อคุณแม่ขาจูนอยากกินตะเกียงดาวกับเจ๊ดการ์เดนท์จังเลยอ่ะค่ะ แนนฉันคงต้องฝากแกซื้อเสื้อลองจอห์นให้ฉัน 2-3 ตัวแน่เลย เพราะฉันคิดว่าตอนหนาวคงเอาไม่อยู่แน่ เดี๋ยวพี่สาวฉันจะกลับเมืองไทยวันที่หกนี้ กวนแกเอาไปฝากพ่อกับแม่หน่อยนะ แค่วันปิคนิคก็ไม่สบายแล้วอ่ะ ปล.โปรดสังเกต รูปบนซ้าย นิ้วชี้ถูกมีดบาด เฮ่ออออ

September 11, 2005

Picnic and Gift card

ก็มาถึงที่นี่ได้ 9 วันละ ดูเหมือนสิ่งที่ได้ learn มันดูมากกว่านั้นเลยอ่ะ อาทิตย์ที่แล้วไป party for new coming ที่บ้าน Professor ที่ทะเลสาบ เดี๋ยวไว้ค่อยเล่าละกัน.. วันนี้มี Picnic ของ Department ปีนึงมีครั้งเดียว เพราะงั้นถ้ามาช้ากว่านี้ก็ไม่ได้ join งานนี้ พึ่งรู้ว่าภาควิชานี้ (Department of Environmental Medicine) คนเยอะมาก จัดที่ park อะไรก็ไม่รู้ เหมือนในเขาอ่ะ เป็นงานที่ก็น่ารักดี ดูเป็นกันเองและไม่มี space ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ ถ้าใครอยากเอาอาหารมา ก็เอามา ละก็เขียนชื่อบอกไว้ มีการเล่นเกมส์ มีชักกะเย่อ เล่นวอลเลย์บอลเหมือนบ้านเรา ละก็มีเกมส์นึงแข่งกินพาย เหมือนในรูปอ่ะ ผลัดกับคาบช้อนตักป้อนคนที่คู่กะเรา คนละสองนาที ใครเหลือน้อยคนนั้นชนะ ..มีเล่นวื่งสามขาด้วยล่ะ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นหรอกนะ แต่พอดีมีคนโคลัมเบีย (ชื่อเรียกยากมาก จนจำไม่ค่อยได้ ประมาณ คูเลียโอ อะไรนี่แล่ะ) มาชวนเล่นเพราะเค้าไม่มีคู่ ก็เลยเล่นก็เล่น ตอนนี้ขาซ้ายเลยเขียวเลยอ่ะ เพราะเชือกทีมัดขาไง ก็ต้องวิ่งแล้วเลี้ยวที่จุดเลี้ยว กลับมาที่เดิม สองรอบ.. ขอบอกกก แข่งกันหลายคู่นะ แต่ June & Culiao (สะกดมั่ว) are the winner นะคะ เค้าบอกว่า You win!! ไม่น่าเชื่อ.. เชอะ ถึงใครจะว่าขาสั้นก็เถอะ ที่จริงเข้าเป็นที่สอง แต่เค้าบอกว่าคู่แรกมันขี้โกง เลี้ยวก่อน เพราะฉะนั้น อิอิ เราเลยชนะ อันนี้ก็เป็นการรวมพันธมิตรกันระหว่าง Thailand and Columbia นะคะ แล้วก็พึ่งรู้ว่า มีรางวัลด้วยล่ะ เป็น Gift card ของ shop นึง ชื่อ Target .. ไม่น่าเชื่อ เมื่อวานพึ่งไปซื้อของตุนจากที่นี่เป็นครั้งแรก แล้วก็ชอบของที่นี่ เป็นชั้นเดียวนะ ดูเหมือนห้างผสมกับโลตัส แต่ของก็น่ารักดี เลยชอบ บัตรก็ 10$ เองล่ะ แต่ก็ดี เพราะเป็นของอย่างแรกที่ได้รับมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ไปนั่งดูเค้าเล่นวอลเลย์บอลกัน นั่งไปเรื่อยๆ ก็มีเพื่อนคนอื่นมาดู ไปๆมาๆ เค้าชวนกันเล่นเวฟ เล่นไม่ทันก็ว่า June, you missed it. เลยต้องเล่น เหมือนคนบ้าเลยอ่ะ ดูรูปเดะ เห็นพี่อ้วนข้างๆ มะ ตอนแรกก็คิดว่าตัวใหญ่จัง แต่ไม่เคยคิดว่าขนาดนี้ พอดูในรูปแล้วตกกะใจ นึกว่าตัวเองเป็นคนแคระ พี่อ้วนนี่ชื่อ ไมเคิล หรือ ไมค์ มีวันนึงถามมคนนึงในแลบว่า Where is the marker? ปากกาเมจิกอ่ะจะเอาไปเขียนหางหนู.. เค้าก็ Follow me.. แล้วก็พาไปหยุดที่ตรงนึง เป็นโต๊ะทำงานของพี่อ้วนนี่ Here... ด.ญ.จูน ก็ทำหน้างงไป เค้าก็บอกว่า This is Micheal?? ก็บอกเค้าว่า marker, a pen ทุกคนก็เลยหัวเราะกันใหญ่เลยอ่ะ ด้วยความกลัวเค้าจะอาย เลยต้องรีบ sorry เค้าใหญ่เลย ละก็บอกว่าเพราะเราออกเสียงไม่ดีเอง.. อันที่จริงภาวะบังคับอันนี้ ที่ไม่มีคนไทยที่จะไปมาหาสู่ง่ายๆได้ นี่มันก็ดีตรงที่บังคับให้ต้องใช้ภาษา ผิดๆ ถูกๆ ก็ต้องใช้ไป ช่วงนี้เลยเป็นช่วงที่ปรับตัวกับภาษาอังกฤษหลายสำเนียงมาก เพราะที่ภาคนี้ International people มากเลยนะ.. ตอนนี้ก็ได้รู้จักจากประเทศ Nigeria, Trinidad, Korea, China, Columbia, Taiwan, Malaysia, Turkey (เมทที่ไม่อยากจะทนอยู่ด้วยเลยอ่ะ เซ็งๆ) ละก็ India เท่าที่นึกออกนะ อ้อ แล้วก็ Professor เป็น Italian .. ตอนนี้ปัญหาที่เบื่อมากๆ เป็นเรื่องเมท บางทีพาลขี้เกียจกลับบ้านเลยอ่ะ.. แต่ช่างมันเหอะ รึว่าฉันต้องเปลี่ยนตัวเอง ลุกขึ้นมาสู้ดีเนี่ย.. คิดว่าไงดีอ่ะ.. อ้อ วันนี้อากาศเย็นสำหรับตัวเอง ใส่เสื้อไม่อุ่นพอ ตอนก่อนกลับเลยเป็นหวัดไปแล้วอ่ะ น้ำมูกไหลใหญ่เลยอ่ะ แย่จัง ทรมาณๆ เลยได้ใช้บริการตู้ยาอีกแล้ว ก็คลอเฟ กับ เคาน์เตอร์เพน ทาขาเขียวอ่ะ อย่าลืมเรื่องเมทนะ ตอนนี้ไม่อยากจะมองหน้า she เอาซะเลย .. What should I do?

September 10, 2005

SurVivAL


กลับมาอีกครั้ง..หลังจากแฟนคลับ เรียกร้อง เฮ่อออ ไม่รู้จะเอาใจใครดี บางคนก็ชอบอ่านแบบที่ผ่านมา บางคนก็บอกว่าเมื่อไหร่จะเขียนเรื่องราวที่นี่ซักที แบบนั้นเบื่อแล้ว เอาเป็นว่ารักจูน ชอบจูน ก็อ่านๆ มันไปเถอะนะจ๊ะ มันต้องเขียนตามอารมณ์อ่ะ เพราะอยากให้ออกมาจากใจ.. วันนี้เป็นเรื่องของการดำรงชีวิตละกัน .. ใครที่รู้จักจูนดี ก็ต้องรู้ว่า เธอทำกับข้าวไม่เป็น ขอย้ำ..ถ้าแฟนพันธุ์แท้ก็ยิ่งรู้เพิ่มไปอีกว่า เพราะเธอไม่ชอบหัวเหม็น อันนี้..พี่น้อยรู้ดี (พี่เลี้ยงแสนรัก เลี้ยงมาตั้งแต่ ป.1 จนตอนนี้ลูกเธออยู่ ป.3 แล้ว)มาถึงที่นี่ค้นพบว่าตัวเองก็มีฝีมือในการทำอาหารเป็นเลิศทีเดียว สำหรับจูน..ง่ายนิดเดียว!! เคล็ดลับความอร่อย..คือปล่อยให้มันหิว.. ฮู้ย ไอ้ที่เหลือเมื่อเช้ากินไม่ลง พอเที่ยงมันก็เปลี่ยนเป็นอร่อย วันนี้ไปซื้อของตุนมา (คือว่า week นึง ออกไปได้แค่หนเดียว ไม่มีรถ ต้องอาศัยคนอื่น)พอเห็นข้าวกล่องของจีนเท่านั้นแล่ะ ก็ตะครุบมันมาสอง ซูชิอีกหนึ่ง ดูรูปเอาเองละกัน อีกอัน เป็นแครอทน้อย..อันนี้ชอบมาก แช่เย็น กรอบๆ อร่อยดี ราคา 3 เหรียญ ด้วยความกลัวไม่มี fiber จัด เลยต้องเอามา แต่ขอบอก.. หุงข้าวเป็นแล้วนะคะ เป็นคุณแม่บ้าน microwave ใส่ข้าว น้ำท่วมเกือบถึงหลังมือ 20 นาที ปี๊บๆๆ กินได้ ภูมิใจจนต้องถ่ายรูปไว้ดูเอง อิอิ พ่อแม่พี่น้อยดีใจกันยกใหญ่ละคราวนี้ เลี้ยงมา 26 ปี ก็ยอมทำซะที.. อืม แต่กับข้าว ก็ยังทำไม่เป็นอยู่ดีแล่ะ พรุ่งนี้มีปิคนิคของที่ภาค... เครียดดดดด สุดๆ แล้วตูจะทำอะไรให้กินดีเนี่ย ไม่ได้ไม่อยากทำหรอกนะ แต่กลัวเค้าจะประทับใจไม่รู้ลืมตะหาก แอบถามไปมา ได้รู้ว่า เค้ามีเงิน support ของภาคจัดซื้ออยู่แล้ว เฮ่อ รอดตัว เลยไปซื้อมันฝรั่งถุงโตไปแทน ..ตอนนี้ตอนเย็นกลับมา ต้องมาเตรียมอาหาร (แสนอร่อย..ตอนหิว)ไว้สำหรับพร้อมเวฟกินตอนเช้า และเที่ยง ทำไปทำมา ปรากฏว่า .มีดบาด.อ่ะ
:( เลยต้องไปค้นยาในลิ้นชัก ที่ เภสัชกร..ภรณ์วีณา เธอลงทุนจัดหาซื้อมาให้จาก Boot ตอนวันที่เธอมาช่วยจัดกระเป๋า เธอเตรียมทุกอย่างได้ดีมาก แต่เธอ ลืม ..เทนโซพลาส คือมันมีแบบผ้ากอซกับเทบกาวนะ แต่ใช้แล้ว นิ้วมันโตอ่ะ แต่ยังไง ก็ดำรงชีวิตรอดใช้ได้ทีเดียว.. นอกจากนี้เพื่อความอยู่รอด ด.ญ.จูน ก็เริ่มกลายเป็นคนประหยัด เมื่อก่อนเทครีมนวดผมเกิน ก็ไม่เป็นไร หกทิ้งไปเหอะ เดี๋ยวนี้ค่ะ เทเกินจี๊ดเดียว เธอปาดคืนเข้าขวด ไม่มีกระเด็น.. อยากได้กระบอกใส่ปากกาตั้งโต๊ะ ก็ที่นี่มันแพงอ่ะ เธอก็รื้อไปริ้อมา ไปคว้าเอากล่องน้ำส้มในตู้เย็นมาตัดใช้ แล้วไอ้ที่ใส่ขวดครีมข้างๆ นั่นน่ะ เธอก็เอา กล่องใส่วิทยุมาตัดแต่ลายมันเชยมากค่ะ เลยต้องเอากระดาษทิชชู่มาห่อ ก็งามน่าใช้ใช่มั้ยล่ะ แล้วก็มีถังขยะอีกนะ เอากล่องแพคเกจโทรศัพท์ มาใช้ เอาถุงพลาสติกใส่รอง ก็น่ารักดี สรุปแล้ว.. For survival ภูมิปัญญาชาวบ้าน กินอยู่อย่างพอเพียง อย่างที่ในหลวงท่านทรงตรัสไว้ นั่นล่ะดี(แนะ ไม่วายแอบมีสาระนิดนึง) .. วันนี้ก็ยังรักทุกคนเหมือนเดิม..ดีใจจัง ที่เกิดมาได้มีคนที่จริงใจกับเราจริงๆ ขนาดนี้ แล้วจะปล่อยให้หลุดไปได้ไง ใช่มะ.. จบดีกว่า ง่วงนอน ฮ้าวววว ตีฉองแย้ววว

September 08, 2005

UnderNeaTh your CloThes..

ที่จริงบล็อกนี้ ตั้งใจจะเขียนขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้มีความสุขกับเรื่องราวตลกๆ ตอนที่พึ่งมาถึง แต่กว่าจะได้เริ่มเขียนก็เลยอารมณ์นั้นไปซะก่อน..เอาเป็นว่าตามเรื่องราวที่อยากบอกในแต่ละวันดีกว่า..ไม่รู้ว่ามีใครเคยฟังเพลงนี้บ้าง ตามชื่อเรื่องวันนี้นั่นแล่ะ เค้าบอกว่า Underneath your clothes, there's an endless story.ทุกวันนี้ก่อนไปเรียน ก็ยังกอดแจ็คเก็ตของพ่อ อยู่ทุกเช้า.... underneath your clothes ของฉันในวันนี้ ไม่ใช่แค่ cloth ของพ่อกับแม่ แต่กลายเป็นรวมถึงเพื่อน น้องสาว และญาติ ก็เพราะที่จริงการเดินทางครั้งนี้ ก็แอบซ่อน ความสุขบางอย่างอยู่ แต่ไม่สามารถจับต้องใกล้ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อน.. "เวลานี้ประมาณเที่ยงวันของประเทศไทยฉันไม่รู้ว่าแกอยู่ส่วนไหนของโลกแล้วเวลาประมาณ 6 โมงเย็นแกก็คงถึง NewYorkฉันคิดว่าเวลาแกอยู่บนเครื่องคงคิดอะไรมากมายแต่ไม่ต้องรู้สึกเหงานะเพราะพวกฉันก็คิดถึงแกอยู่เหมือนกันเมื่อกี้นี้ฉันเล่าให้ไอ้อังฟังว่าเมื่อวานนี้เราวุ่นวายกันยังไงบ้าง ฉันกะว่าประมาณ 6 โมงเย็นฉันจะส่ง mail หาแกอีกทีนะคิดถึงเสมอ สู้ สู้นะ" "ธรรมดาเวลาฟ้าครึ้ม....เมฆหม่น พายุฝนอยู่บนฟากฟ้า คงไม่นานตะวันสาดแสง....แรงกล้า ส่องให้ฟ้างดงาม เคยได้ยินคนที่ผ่านอเมริกามาแล้วหลายคน เขาเล่าว่า ช่วงแรกที่ไปถึงฟ้ามันมืดมิดไปหมด ตัวคนเดียว พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เหงา มันจะมืดอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วก็ค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย...สว่างจนไม่อยากกลับเลยแหละ ฉันเองก็รอคอยวันที่ฟ้าที่โน่นจะเปลี่ยนสีให้สว่างสดใสสำหรับแกอยู่เหมือนกัน และหวังว่าเทวดาคงไม่ใจร้ายเกินไปนัก ช่วงแรกๆอาจจะลำบากหน่อย แต่อะไรๆมันต้องดีขึ้นแน่นอน...เชื่อสิ มีคนคอยเอาใจช่วยแกอยู่เยอะนะ เหนื่อยก็พัก แล้วก็ลุกขึ้นมาสู้ต่อ ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ ไม่สู้.....ก็แพ้ แต่เพื่อนฉันจะไม่แพ้หรอก......สู้ สู้" แล้วก็..พี่ไข่..พี่สาว ที่กลับกลายเป็นความอบอุ่นใจที่เกิดขึ้น.. ขอบคุณนะจ๊ะ ไม่รู้จะบอกยังไง มันช่วยได้มากที่เดียวในวันที่เหนื่อย เพื่อนฉันมีเยอะ แต่เพื่อนแท้..มันหายาก ใครบอกว่าการแสดงออกของความรู้สึกไม่สำคัญ เพราะตอนนี้มันมีค่ากับฉันเหลือเกิน.. ตอนนี้ฉันกำลัง learn อีกครั้งกับบทเรียนใหม่ แต่บังเอิญระหว่างทางเดิน แอบค้นเจอความสวยงามที่แท้จริงอันนี้ก่อน ..ก็ To Learn is Happiness ไง แต่กว่าจะไปถึง คำว่า Happiness ก็คงต้อง learn..อีกแล้ว..ค่ะท่านผู้ชม ..สำหรับใครที่มอบความเป็นห่วงมาให้ทุกวันจนฉันรับรู้ได้..เอาไปเลย รักจัง.. มา learn ไปด้วยกันนะ แม้จะมีเหนื่อยบ้าง ในบางเวลา จูนเอง :P

September 07, 2005

Blue day for a HapPiNesS

ที่จริงวันนี้ตั้งใจจะมาเขียนเรื่องราว ตั้งแต่วันที่เดินทาง แต่วันนี้มีอย่างอื่นรู้สึกอยากเขียนมากกว่า เดี๋ยวไว้ค่อย review เรื่องนั้นใหม่แล้วกัน..มีคำสอนอย่างนึงที่ได้รับจากพ่อเสมอๆ..เวลาที่ไม่สบายใจ พ่อ(และแม่)ก็จะอยู่เคียงข้างตลอด เป็นอ้อมกอด อ้อมอกและบ่าที่ไม่เคยทอดทิ้งไปไหนจริงๆ พ่อจะสอนทุกครั้งที่ลงไปนั่งร้องไห้ว่า.. ลูกต้องเข้มแข็ง อดทน เพราะ "ฟ้ามืดแล้วต้องมีฟ้าสว่าง" แต่ว่าลูกจะอยู่ยังไง ให้ได้ เพื่อรอวันที่ฟ้าสว่างกลับมาอีกครั้ง แล้ววันนั้นลูกจะได้รู้ว่าความสุขอันนั้นมันมีค่าแค่ไหน ครั้งแรกที่ได้รับคำสอนนี้ก็จะคิดตลอดว่า คุณพ่อไม่มีวันเข้าใจจูนหรอก ก็คุณพ่อไม่ได้มารู้สึกอย่างจูนนี่นา แต่พอวันนึงที่ผ่านไปได้ มันก็มีความสุขมากมายเกิดขึ้นจนอธิบายไม่ถูกจริงๆ คำสอนนี้ดูจะตรงกับเพลงๆ นึง..ฤดูที่แตกต่าง และก็บังเอิญตรงกับคำสอนของอาจารย์ท่านนึงที่บอกเสมอว่า No Pain No Gain .. วันนี้มีอะไรหลายอย่างที่กำลัง LEARN ในโลกใบใหม่แบบลองผิดลองถูกด้วยตัวเองจริงๆ มีแอบท้อบ้าง วันนี้เลยได้โอกาสหยิบจดหมายที่พ่อเขียนไว้ให้ก่อนมา เปิดอ่านเป็นครั้งแรก จริงอย่างที่คุณพ่อว่า.. ตอนนี้ถึงเวลาที่จูนต้องเข้มแข็งอีกครั้งอีกแล้วค่ะ แต่วันนี้ต้องสู้เอง.. แล้ววันนึงที่สวยงาม มันก็จะรอจูนอยู่ เหมือนที่คุณพ่อเคยสอนและอยู่เคียงข้างให้จูนทำได้ตลอดมาใช่มั้ยคะคุณพ่อ.. ใครๆ ที่ได้มาอ่านบล็อกวันนี้ กลับจากงานแล้วยังเจอพ่อกับแม่ได้โดยง่าย อย่าลืมไปกอดให้เต็มอิ่มนะ เพราะวันนี้ฉันต้องกอดเสื้อแจ๊คเกตที่พ่อให้มาอ่ะ ไม่เป็นไร..ตัวไกลแต่ใจอยู่ด้วยกันสามดวงใช่มั้ยคะ คุณพ่อคุณแม่

September 06, 2005

To Learn is HaPpiNesS


เรียน พ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพ บลอกไดอารี่นี้ จัดทำขึ้นเพื่อแบ่งปันความสุข (และความทุกข์เป็นครั้งคราว) ให้กับทุกคนที่จูนรักและรักจูน ไม่ว่าจะรักในวันนี้รึในวันหน้าก็ตาม เพราะฉะนั้นถ้าคุณได้รับการอัญเชิญให้เข้ามาอ่านก็จงภูมิใจซะเถอะนะจ๊ะ อ่านแล้วก็อยากให้อมยิ้มกรุ้มกริ่มพอมีความสุข อยากจะแนะนำเพื่อน (ที่ดีๆ) มาร่วมอ่านแบ่งปันก็ไม่ว่ากันจ้ะ และถ้าเป็นไปได้ ถ้าจะมีใครช่วย print รึไปต่อเนตให้..พ่อหนุ่ยกะแม่หมู..อ่าน ก็จะร๊ากกก คนนั้นเป็นที่สุดเลย.. ก็อย่างชื่อ Title ที่ตั้งไว้ To learn is Happiness ก็เพราะไม่กี่ปีมานี่เริ่มมีความสุขกับการได้ค้นหาสิ่งที่ได้เรียนรู้ผ่านเรื่องราวและเหตุการณ์หลายอย่างที่เข้ามาในชีวิต ก็เลยอยากจะมาแบ่งปัน และอาจขอคำแนะนำกันบ้างในบางเวลา.. จูนเอง.. Rochester, NY, USA