October 30, 2005

Daylight Saving Time: DST

ทู้กกกกคนคะ ตอนนี้ Thailand and US. เรามีเวลาต่างกัน 12 ชม. (Rochester ช้ากว่าไทย 12 ชม.) เป๊ะๆๆๆ แทนจากเดิมที่จูน เคยบอกว่า 11ชม. แล้วนะคะ ปรับเวลากันใหม่น๊า อย่าฉับฉนนนน.. คงมีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับ " Daylight Saving Time: DST " หรือ Summer Time กันบ้าง ก็คือการปรับเวลาเพื่อให้เรามีช่วงเวลากลางวัน (day time)ให้ได้ใช้สอยกันมากขึ้น เพราะช่วง summer ประเทศเหล่านี้จะมี day time นานกว่า night time ส่วน winter ก็ตรงข้ามกัน.. ก็มีประกาศใช้กันเป็นกฏหมายทีเดียว ประมาณ 70 ประเทศทั่วโลกที่ใช้ แต่ประเทศผู้นำทางด้านอุตสาหกรรมโลกเพียงประเทศเดียวที่ไม่ใช้คือประเทศญี่ปุ่น สำหรับประโยชน์และจุดประสงค์ก็มีหลากหลาย แต่จูนขอยกเป็นบางตัวอย่างนะคะ อย่างนึงเพื่อความปลอดภัยค่ะ เช่นเวลามาทำงาน เลิกงาน ในบางครั้งจะได้ไม่มืดจนเกินไปซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ในบางประเทศก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จาก DST ในการอนุรักษ์และผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ริเริ่มจุดประกายแนวความคิดนี้เป็นคนแรกของโลก ก็คือ Benjamin Franklin ชาวอเมริกัน ในปี คศ.1784 ระหว่างที่ Franklin เดินทางไปประเทศฝรั่งเศสในฐานะผู้ตรวจการค่ะ ซึ่งมีความกล่าวสำหรับเรื่องนี้ว่า
Learn the history of daylight saving, from Benjamin Franklin to the present...

Just as sunflowers turn their heads to catch every sunbeam, so too have we discovered a simple way to get more from our sun.

We've learned to save energy and enjoy sunny summer evenings by switching our clocks an hour forward in the summer.

อย่างไรก็ตามประเทศแรกที่มีการปรับนาฬิกาจริงๆ จังๆ เพื่อ Daylight Saving Time ก็คือประเทศอังกฤษค่ะ ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกา มีการประกาศเป็นกฏหมายการปรับเวลาเพื่อ Daylight Saving Time อย่างเป็นทางการ ในปี 1986 โดย DST
- เริ่มต้นตั้งแต่ 2.00 AM ในวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน โดยเป็นที่รู้กันว่า เวลาจะถูกปรับในวันดังกล่าว ล่วงหน้าไป 1 ชม. จาก 1.59 AM เป็น 3.00 AM = Spring forward
- และสิ้นสุดที่ 2.00 AM ในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม (วันนี้ไงคะ)เวลาก็จะถูกปรับถอยหลัง 1 ชม. จาก 1.59 AM ไปสู่ 1.00 AM อีกครั้ง = Fall (Autumn) back
โดย DST ดังกล่าวนี้ ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ตามตำแหน่งที่ตั้งละติจูดของประเทศต่างๆ

ที่มา : http://moat.nlanr.net/International/images/collab_world_map.gif

ประเทศไทยเราจะไม่มีปัญหานี้มากนัก เนื่องจากที่ตั้งอยู่ใกล้ตำแหน่ง equator (เส้นศูนย์สูตร) โดยประเทศที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรออกไป และใกล้ North Pole หรือ South Pole มากกว่า จะได้รับอิทธิพลของ Day-Night Time มากกว่า ถ้าทุกคนดูจากแผนที่นี่ ก็จะเข้าใจว่าทำไม อเมริกาจึงได้รับอิทธิพลมากกว่าบ้านเรา และด้วยตำแหน่งที่ห่างกันครึ่งโลกพอดี จึงทำให้เวลาต่างกัน 12 ชม.ค่ะ (ถ้าแผนที่ไม่ชัดให้ดับเบิ้ลคลิกเข้าไปดูภาพขยายที่เวบได้เลยนะคะ) เอาล่ะ จูน ก็ขอ ..แบ่งปัน.. เฉพาะประเทศใกล้ตัวอเมริกาเท่านี้ดีกว่าค่ะ

นอกจากนี้ อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือเรื่องของ spelling & grammar โดยที่ถูกต้องเป็นทางการคือ "Daylight Saving Time" ไม่ใช่ Daylight Savings Time คือไม่มี s ตามหลัง saving เพราะ saving ในที่นี้เป็นคำคุณศัพท์ ขยายคำนาม Time เนื่องจากมีการพูดและใช้ผิดกันเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวว่า no daylight is actually saved คือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถเก็บเวลานั้นได้จริง จึงน่าจะใช้ Daylight Shifting Time มากกว่า แต่ก็ยังไม่มีการตัดสินออกมาอย่างเป็นทางการแน่นอนค่ะ "Daylight Saving Time" จึงยังเป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากกว่า

ค่ะ นี่ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่อาจไม่เป็นที่คุ้นเคยนักสำหรับบ้านเรา จูนก็ได้พยายามเรียนรู้เพื่อจะมา.แบ่งปัน. เปิดโลกทัศน์ให้กับทุกคน เท่าที่จูนจะค้นหาและเข้าใจได้ใน 2 ชม.นี้ ก็พึ่งเรียนรู้ใหม่สดตอนนี้ ที่นี่ ก็เรียนรู้และมีความสุขไปด้วยกันนะคะ อาจมีเพื่อนๆ พี่ๆ บางคนที่เข้าใจลึกซึ้งมากกว่าจูน ถ้ามีตรงไหนที่จูนอาจยังเข้าใจไม่ถูก ก็สามารถช่วยกันแนะนำ แบ่งปัน แก้ไข กันมาได้นะคะ เพื่อทุกคนจะได้รับประโยชน์กันอย่างเต็มที่ที่สุดค่ะ ..

สำหรับเพื่อนใหม่ ที่ลิงค์หน้านี้จากเวบฟอนท์ ยินดีต้อนรับนะคะ ดีใจและขอบคุณที่เปิดใจ.แบ่งปัน.กับ shinyjune ค่ะ

ขอขอบคุณ
http://webexhibits.org/daylightsaving/ สำหรับข้อมูลคุณภาพ
http://moat.nlanr.net/International/images/collab_world_map.gif สำหรับ world map เพื่อการแบ่งปันและเรียนรู้ให้แก่สมาชิิก 'บ้าน shinyjune' ละเหมือนเดิม ภาพสวยๆจาก Google ค่ะ

..วันนี้เลยได้ตื่นสายได้เวลาเพิ่มมาอีก 1 ชม. เหมือนนั่ง Time Machine ของโดเรมอนเลย ชอบจัง ชอบจัง อิอิ .. (@^_^@)

เรื่องแจ่ม แจ่ม จากละครตุรกี !!

เรื่องมีอยู่ว่า เย็นวันพฤหัสบดี อิอิ นั่งกินข้าวกะเจ๊ไอ เธอเปิดละครตุรกีค่ะ อ่ะนะ..โต๊ะกินข้าวเดียวกัน จูนก็เลยดูซะหน่อย (กว่าเพื่อนจะส่งอะไรมาให้ดู ก็รอแล้วรออีก เลยดูของตุรกีดีกว่า)แต่ขอบอก... ว่าไม่ได้เป็นละคร วี๊ดๆๆ ตีกันเหมือนบ้านเรานะคะ แต่เป็นละครช่อง educated program ค่ะ ก็คือเพื่อจุดประกายความคิดอะไรดีๆ ให้กับคนในประเทศ ดูซีคะ ตรงข้ามกับบ้านเราสิ้นเชิงเลย เค้าทำละครเพื่อพัฒนาคุณภาพประชากร แต่ละครบ้านเราดูแล้วประชากร จุด จุด จุด?? ต่อค่ะ.. ฟังอ่ะไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเป็นภาษาตุรกี เจ๊ไอก็เลยแปลให้ scence by scence ก็อย่าดูถูกไป ดูแล้วน่าติดตามนะ จูนปวดท้องฉี่ยังขอดูให้จบก่อนเลยค่ะ!! เรื่องมันยาวเกือบ ชม. เล่าย่อๆ ก็ลำบาก ประมาณว่าคุณหมอ ภรรยาถูกก่อการร้ายชายแดนฆ่าตาย แล้วต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองว่าจะจมกองทุกข์ หรือจะยังเอาความรู้ที่ตัวเองมีอยู่ไปรักษาคนอื่นให้เป็นประโยชน์ต่อ บ้าบอ..อยู่ปีกว่ากับการต่อสู้ว่าจะใจดำไม่รักษาหรือว่าทำดีช่วยคน ต่อไป (ไม่อธิบายรายละเอียดนะคะ มันซับซ้อนมาก เดี๋ยวปวดหัว)มีคนมาตามให้ไปรักษาคนไข้ในชนบท ตรงแถวชายแดนที่ภรรยาถูกฆ่า ก็โวยวายว่าไปทำไม รักษาให้คนแถวนั้นไปแฟนก็ไม่ฟื้นขึ้นมา แล้วทำไมต้องไปช่วยพวกคนที่อาจจะเป็นคนฆ่าภรรยาตัวเองด้วย ต่อสู้กับความคิดที่สับสนของตัวเองอยู่ปีกว่า สุดท้ายยอมไปรักษาหญิงชราแถวนั้นคนนึง พบว่าหญิงชราคนนั้นเลี้ยงเด็กอ่อนซึ่งมีสัญลักษณ์บางอย่างห้อยอยู่เหนือเปล แล้วคุณหมอก็จำได้ว่าเนี่ยของแฟนเค้า ถามไปมาหญิงชราบอกว่าได้ช่วยชีวิตผู้หญิงคนนี้ไว้ปีก่อน ช่วยไปช่วยมาไม่กี่เดือนคลอดลูก (อย่าคิดเลยเถิดว่าท้องกับใคร กี่เดือนคลอดเหมือนละครบ้านเรานะคะ ละครชาวมุสลิมเค้า..สะอาดกว่าเยอะค่ะ) อืมม สุดท้ายคุณหมอเลยได้ลูกตัวเองกลับไปเลี้ยง ชีวิตก็เปลี่ยนไป ค้นพบความสุขอีกครั้ง ก็คือ..ถ้าเค้าไม่เอาชนะใจตัวเอง ผ่านบททดสอบนี้ ไม่ยอมมารักษา เค้าก็ไม่ได้เจอลูกเค้า ดูซีคะ ไม่ได้ตั้งใจจะดูอะไรมากมายเลยนะเนี่ย(แค่ไม่ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำเลยแค่นั้นเอง 555) แต่สุดท้าย สาระที่จูนจับได้จากละครโดยบังเอิญก็คือ.. คนเราต้องมีความหวัง "ทุกครั้งที่ชีวิตเจอกับความทุกข์แสนสาหัส..มันคือบทเรียนที่ข้างบนส่งมาทดสอบความเป็นมนุษย์ของเรา" และด้วยความหวังกับความตั้งใจในสิ่งที่ดีๆ วันนึงสิ่งที่ดีงามจะตอบกลับมา.. และถ้าคุณสู้ได้ และแกร่งพอ..จนผ่านไปถึงวันนั้น นั่นหมายความว่า..คุณผ่าน..บททดสอบความเป็นมนุษย์..บทนั้นแล้ว ..จ้ะ..ถ้าจะมีแฟนพันธุ์แท้สักคนสังเกต คงจะเห็นใช่มั้ยคะว่ามันมีอะไรบางอย่าง ที่บังเอิญคล้ายกับเรื่องราวที่จูนมีความสุขที่ได้ถ่ายทอดผ่านบ้าน shinyjune นี้มาตลอด.. จูนเองก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่พึ่งก้าวเข้ามาฝึกฝนในบทเรียนนี้โดยไม่ตั้งใจ อาจยังสอบผ่านได้แค่ชั้นอนุบาล ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง พลาดบ้าง หัวเราะบ้าง มีน้ำตาบ้าง ค่ะมันไม่ง่ายเลย และแต่ละเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาให้ฝึกฝนสำหรับจูน ก็ยากง่ายต่างกัน ก็เพราะมันเป็นการ ..ฝึกฝนที่จิตใจ..ไม่ใช่ร่างกายไงคะ เราต้องเอาชนะตัวเอง ซึ่งยากกว่าการเอาชนะคนอื่นหลายเท่า แต่ถ้าเราทำได้มันก็เป็น "ความชนะที่ละเอียดอ่อน" แท้จริงและมั่นคงกว่าการเอาชนะคนอื่น ซึ่งเป็นการ ..เผาไหม้และทำร้ายจิตใจตนเอง..โดยไม่รู้ตัว และจูนรับรองค่ะว่า ผลผลิตที่ได้ หาซื้อด้วยเงินทองจากไหนไม่ได้ และผลผลิตจากการฝึกฝนเหล่านี้ก็ไม่มีวันหนีเราไปไหน เพราะ..คือใจที่สงบและความสุขที่แท้จริง เพียงแต่บางครั้ง..กว่าที่เราจะได้ซาบซึ้งกับความสุขอะไรสักอย่าง"อย่างแท้จริง" เราอาจต้องผ่านบทเรียนหนักๆ ในชีวิตมากมาย เพียงเพื่อจะยืนยันว่าเราแกร่งพอแล้วที่จะเป็นมนุษย์.ที่คู่ควรและควรค่าพอ.ที่จะได้รับ ความสุขนั้น.. แล้วคุณล่ะคะ แกร่งพอมั้ย ไม่ลอง แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ว่าจริงหรือเปล่า จูนเอง (@^_^@)/

October 29, 2005

เดี๋ยวเจอกันค่า (@^_^@)

ฮาโหลๆๆ สวัสดีจ้า ไม่ได้หายหน้าไปไหน คืนวันพฤหัสไปเรียนภาษาอังกฤษมา เมื่อคืนไปทานข้าว ตอนนี้เช้าวันเสาร์ แต่เดี๋ยวจะออกไปซื้อของ winter กับเพื่อน เดี๋ยวเย็นนี้ จะกลับมาต่อเติม ..บ้าน shinyjune.. ต่อจ้ะ รอจูนด้วยนะค๊า....แล้วมาแบ่งปัน.ไอของความอุ่น.ด้วยกันอีกนะคะ แล้วเจอกันค่ะ..ที่นี่ เร็วๆนี้ คิดถึง..ทู้กกกกกกคน (@^_^@)

October 27, 2005

งานของจูนกับเพื่อน เพื่อน

แฮ่กๆๆๆ วันนี้เหนื่อยนิหน่อยๆ จ้า ตื่นตีห้าทำแลบเจ็ดโมงถึงหกโมงเย็นแน่ะ หยุด หยุด!! อย่าพึ่งบ่นจ้ะ เพราะหลังจาก review งานตัวเองแล้วพบว่าควรทำไรเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อให้สมบูรณ์ เลยเดินไปเล่าให้ professor ฟัง Prof. บอกว่า Okay, very good. เลยรีบทำ แบบว่าใจร้อนอยากรู้ผลไวๆ เลยตั้งใจไปทำเองแล่ะจ้ะ จะให้เสร็จในสามวันนี้ให้ได้ แล้วจะได้พักผ่อนๆ สบายๆ ..วันนี้..เล่าเรื่องงานให้ฟังดีกว่า ตั้งแต่ทำมาเนี่ย จูนก็ทำแลบกับเจ้าหนูขาวทดลองที่เห็นนี่ล่ะจ้ะ (ใครที่ยังไม่ชิน อาจหยองๆ เล็กน้อย)ปกติอยู่เมืองไทยไม่เคยใส่ mask ตอนทำเล้ยยย มาที่นี่ตั้งกะไปเข้าคลาสเรื่อง Ashma (หอบหืด)มา ก็เริ่มร้อนตัว กลัวว่าอีกหน่อยจะ adapt ไปเป็นบ้างเพราะสูดขนหนูทุกวัน ก็เลยร้อนรนไปหา mask มาใส่ ปรากฏว่า Prof. เดินมาเห็นบอกว่า Good, you like an expert. อ้าวเป็นงั้นไป เพื่อนคงอื่นก็เลยคิดว่า อืม.. คนไทยนี่ถูกฝึกมาดีเนาะ ประเทศไทยคงทำแลบกันสะอาด ถูกสุขอนามัย 555 ป่าวเลยอ่ะค่ะ บ้านเราทำกันเลอะกว่านี้เยอะ แต่บังเอิญจูนเกิดอาการเดือดร้อนกลัวเป็นหืดกะทันหันแค่นั้นเอง.. เลยกลายเป็นดีไป อิอิอิ.. การทำแลบแบบนี้ เค้าก็เรียกว่าทำในสัตว์ทดลองจ้า แต่ทีนี้..ที่นี่เค้าทำในเซลล์กันเป็นส่วนมาก เพื่อนๆ เลยค่อนข้างตื่นเต้นกับจูนมากเป็นพิเศษ ช่วงที่มาทำแรกๆ จะมีคนแวะเวียนมาเยี่ยมดูบ่อยๆ แล้วก็ wow บ้าง, ว้ายบ้าง, ตื่นเต้นบ้าง,กลัวบ้าง เพราะเค้าไม่เคยทำกัน แต่ก็จะมี พี่ไมค์(ไมเคิล เรื่อง Picnic and gift card อ่ะค่ะ) ที่ทำกับหนูเหมือนจูนอยู่คนเดียว ทีนี้มันก็เกิดเป็นการเปรียบเทียบน่ะสิคะ ก็พี่ไมค์อ่ะตัวใหญ่บะเร่อเท่อ แต่น้องจูนเท่าหนึ่งในสองของพี่ไมค์ และใจเป็นพุทธ กรรมวิธีการทำมันก็เลยต่างกัน เพื่อนก็เดินมาดูแล้วก็บอกว่า You are more gentle than mike.ก็แน่ล่ะ เรากลัวบาปนี่นา ฉีดยาสลบทีก็ต้องรอๆๆ ให้มันสลบก่อน อีกคนก็บอกว่า Yes,I think June get more experience. เอาล่ะสิ ใจก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้ให้พี่ไมค์มาได้ยินเล้ยยยย รู้สึกไม่ดีไงไม่รู้ แต่ฝรั่งก็ไม่น่ามีไรจุกจิกเท่าคนไทยเท่าไหร่ ตั้งแต่อยู่มาสองเดือนถ้าดูไม่ผิด คิดว่าแลบนี้อ่ะ เค้าไม่ค่อยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ดูเหมาะกับจูนมาก แต่ละคนคือ สนใจในงาน รับผิดชอบหน้าที่ใครหน้าที่มันเท่านั้นเอง แต่ก็ดีใจที่เพื่อนยอมรับในงานของเรา เพราะภาษา บางทีก็ยังเอ๋ออยู่ จะได้ชดเชยกัน แต่ขอบอกกก..วันนี้ได้สอน Doctor ด้วยนะคะ ขนาดยังเป็นแค่ student อยู่นะ แหะๆ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก พี่เด..ไง David (เรื่อง Coworkers อ่ะจ้ะ ชาวไนจีเรีย พึ่งจบ Ph.D จากญี่ปุ่น แล้วก็มาทำงานที่นี่) เพราะ Prof. ให้พี่เด เตรียมทำแลบกับหนูทดลอง แล้วเมื่อวานพี่เด..ลองทำแล้วน้องหนูตายไปซะก่อน พี่เดก็เลยมาถามจูนว่า ขอดูจูนทำแลบได้มั้ย พี่เดบอกว่าจะให้จูน เป็น consultant โห.. เท่ห์เชียว ก็ทำๆไป พี่เดก็ จุ๊ จุ๊ จุ๊ อยู่นั่นแล่ะ It's very tiny. How can you do it? จุ๊ๆๆๆ อีกละ เหมือนเสียงจิ้งจกเลย แต่ก็ดีใจ เพราะพี่เดบอกว่า You are a good surgeon. เลยถามกลับไปว่า Why? แล้วตอบอะไรกลับมาไม่รู้ ฟังไม่ออกค่ะ (อีกแล้ว) แต่ขี้เกียจถามต่อแล้ว เพราะต้องตั้งใจทำ แล้วเราก็คุยกันเรื่องคำสอนของแต่ละศาสนานิดหน่อย ก็ได้อะไรดีๆ ที่น่าประทับใจหลายเรื่องทีเดียว เดี๋ยววันหลังเล่าให้ฟังอีกที ทั้งหมดที่ได้มาเนี่ย ก็เพราะปีกว่านั่งทำแต่อย่างงี้อ่ะ เบื่อจะแย่แล้ว เดี๋ยวต่อไปเปลี่ยน Project ไปทำกะเซลล์ ทีนี้ก็ประสบการณ์เท่าหางอึ่งน้อยแล้ว อิอิ คราวนี้ก็ต้องให้เพื่อนๆที่นี่ เป็นคนชี้แนะ เหมือนกัน ก็ดีเนาะ ใช่มั้ยจ๊ะ เหมือนโครงการแลกเปลี่ยน ไทย-อเมริกา เลย .. สรุปแล้ว วันนี้จะบอกว่า "อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว รู้ให้เชี่ยวชาญเถิด จะเกิดผล" จบ..ข่าว!!! June CNN Hot News....

October 25, 2005

June--> Brave Heart

มาแล้วจ้ะ..หลังจากสงบนิ่ง ใช้สติ ไปมองเหตุและผลของปัญหามาก็ต้องยอมรับว่า ..ช่างมานนนเถอะ.. ที่จริงเริ่มหายเศร้าตั้งแต่วันศุกร์แล้วจ้ะ แต่ยังไม่ได้เขียนเพราะไป dinner และระบายอารมณ์โยน Bowling มา มาดูกันค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น.. ที่จูนเสียใจคงไม่ใช่เพราะเงินหายอย่างเดียวหรอก แต่เพราะมันหายทั้งที่เราวางไว้ในห้องนอน ไม่ใช่เพราะความสะเพร่า ไม่ใส่ใจหรือวางทิ้งของเรา มันเลยพูดไม่ออก เสียใจไงคะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่หาแล้ว ปวดหัว มั่นใจแล้วว่าหายชัวร์ ประเด็นมันอยู่ตรงที่ เงินที่หายเนี่ย จูน ตั้งใจเก็บมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว จะเอาไว้ shopping ซื้อของ winter กับของที่อยากได้น่ะสิคะ ฮึ่มมมม!! มันก็เลยต้องเก็บใหม่อีก เออ!ถือว่าทำบุญให้ญาติ..เหยื่อ Kathrina พายุเฮอริเคนละกัน (นี่ขนาดเดือนที่แล้ว เดินไปบริจาคใส่ตู้ที่ รพ.แล้วนะเนี่ย)..แล้วก็..ขอบอกกก .. นะคะพ่อแม่พี่น้องที่เคารพ อาทิตย์ไหนว่าง มีตังค์นะคะ ก็ไม่มีใครชวนเที่ยวเล้ยยยย พออาทิตย์นี้เซ็งเศร้ากระเป๋าตังค์หายเท่านั้นแล่ะ ชวนซ้อนกันแล้วซ้อนกันอีก ทั้งเพื่อนที่แลบ เพื่อนคนไทย ไม่รู้จะไปกับใครดี ชวน dinner ทั้งอาหารจีน ญี่ปุ่น อิตาเลียน พร้อมรถรับส่ง กานนนใหญ่ ตอนมีตังค์ก็ม่ายยยชวน สุดท้ายก็..ไปค่ะ.. จ่ายไปก็เฝ้าคิดถึงน้องเป๋าตังค์ไปตลอด ฮึ่มๆๆๆๆ น้ำตาไหลพรากๆๆๆ ทั้งที มีเหรอจูนจะปล่อยเรื่องราวนี้ที่ผ่านเข้ามา ให้มันผ่านไปเฉยๆ แบบสวยใสไร้สติ!!.. มันก็ต้องได้เรียนรู้อะไรตาม style จูน ฉบับ To Learn กันหน่อย
ข้อ 1.ชัวร์มากที่สุด..คุณค่าของเงิน.. ไม่ใช่เมื่อก่อนไม่เห็นนะคะ เห็นค่ะ แต่คราวนี้มันเห็นแบบซาบซึ้งตรึงใจไม่รู้ลืมเลย เพราะตั้งใจเก็บๆๆ ด้วยน้ำพัก น้ำแรง น้ำย่อย ของตัวเองค่ะ เพราะตั้งใจไว้แล้วว่ามาเนี่ย ฉันจะไม่กวนเงินพ่อแม่เด็ดขาด แล้วมันก็มีคนอื่นมาเอาไปช่วยใช้!! ง่ายๆ กันซะงั้น เออ ถ้าไม่เอาไปซื้อห่วงยางทองคำ ลอยน้ำหนีพายุ Kathrina นะ!! จูนจะโกรธขโมย
ข้อ 2.เพิ่มความระมัดระวัง ไม่ประมาทมากขึ้นค่ะ.. จำไว้ที่ไหนมันก็หายได้ค่ะหนู!! ไม่ใช่บ้าน ที่ระวังแค่น้องหมาคาบไปกัดก็พอแล้น ..ความประมาท เป็นหนทางของความอด..!!
ข้อ 3.ได้หัดใช้เงินผ่าน Debit card ซะทีหลังจากไม่เคยได้ปฐมฤกษ์เปิดใช้เลย เพราะไม่ชิน ที่นี่เราก็เอาการ์ด รูดผ่าน monitor ค่ะ แล้วก็ใช้ปากกาจิ้ม Pin code ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็ต้องจิ้มบอกอีกว่าเอาเงินทอนเป็น cash รึป่าว แล้วก็ enter ค่ะ เห็นมั้ยล่ะคะ ก็มัน Hi-Tech ไงคะ กลัวๆ เลยใช้ cash ดีกว่า ง่ายกว่าต้างเยอะ แต่สุดท้าย..ก็ต้องกลับมาใช้การ์ดอยู่ดี ขอบอกกก แอบตื่นเต้นด้วยค่ะ แต่ก็สนุกดี ไปๆมาๆ ปรากฏว่า แบบนี้อาจประหยัดกว่าค่ะ เพราะเราไม่เห็นว่าตังค์ในกระเป๋าว่ายังเหลืออยู่เยอะ เลยไม่ค่อยใช้มาก
ข้อ 4.อิอิ หลังจาก..อาเรามาเขียน comment ให้ เราก็พบว่าอืมมม ปลง! อย่าคิดมากอีกเลย.. ยัยจูนเอ๋ย สืบเนื่องจากอาเราบอกว่าตอนอายุเท่าเรา หายทุกเดือน! ของ Mami ก็เคยถูกล้วงกระเป๋าด้วยค่ะ แต่ของพ่อนี่น่ารักสุด เพราะพ่อหนุ่ยค่ะ ตอนหนุ่มๆ เอากระเป๋าตังค์เหน็บกระเป๋ากางเกงข้างหลัง (ตรงก้นอ่ะค่ะ)นั่งเรือยนต์ค่ะ เท่ห์ๆ ปั้กๆๆๆ "เป๋าตังค์ตกน้ำ" ค่ะ 55556666 (นิสัยไม่ดี หัวเราะป๊ะป๋าตัวเอง แต่ก็ขออนุญาติเอามาเล่าเป็นอุทาหรณ์หน่อยนะคะคุณพ่อ)ก็เลย อนิจจัง วัฏสัง กระเป๋าตังต์ลา อย่าคิดมากอีกเลยค่ะ
ข้อ 5.แน่นอนสิ่งที่จูนได้รับผ่านบทเรียนครั้งนี้ ยังคงเป็น .ไอของความอุ่น. ที่ทุกคนคอยช่วยกันเติมให้จูนผ่านบ้านนี้เหมือนเดิมค่ะ คงไม่มีเงินทองที่ไหนที่จะแลกหา ซื้อความจริงใจและความรักดีดีผ่านโชคร้ายเหล่านี้ได้ (@^_^@) ขอบคุณนะค๊า ดีใจนะคะที่ทุกคนเป็นห่วงและรีบโทรมาหา กำลังใจหลั่งไหลมายังกะซับน้ำตาชาวใต้ แล้วจะให้หายหน้าหายตาไปนานกันได้ยังไง ใช่มั้ยคะ เพราะฉะนั้น อย่าลืมคลิกกลับไปอ่าน comment ขอบคุณจากจูนเรื่องที่แล้วด้วยนะคะ เพียบเลย 10 กว่า comments!! ร้ากกก..ทุกคนจริงๆ เยยย
เมื่อนับข้อดี ได้ 5 ข้อแล้ว ก็ ..จบข่าว To Learn ฉบับจูน จ้า.. ที่รักทู้กกกกคน ทุกคน
ปล.ตอนนี้ที่นี่หนาวแบบพูดควันออก มาอาทิตย์กว่าแล้วค่ะ ใบไม้ก็เปลี่ยนสีอวดกันเหลืองบ้าง แดงบ้าง เตรียมร่วงกันใหญ่แล้วล่ะค่ะ แล้วอย่าลืมคลิกกลับไปอ่านคอมเมนท์ขอบคุณจากจูนเรื่องที่แล้วกันนะคะ แล้วเจอกัน..

October 21, 2005

: ~~~~

กระเป๋าตังค์หาย เขียนไม่ออก อยากร้องไห้ มีอะไรฝากคอมเมนท์เอาไว้นะจ๊ะ เพราะจะออนไลน์ไว้ทุกวัน หายเมื่อไหร่จะมาเขียนต่อ ขอโทษนะ..

October 20, 2005

49 วันกับ To Learn จ้ะ :)

เย้ เย้ เย้.. เย้ เย จูน finish experiments สำหรับ project เมืองไทยแล้วจ้า (@@@^___^@@@)ก็ได้ทำเพิ่มอีก 3 experiments ด้วยเวลา 49 วันสำหรับการมาเปิดโลกทัศน์และเรียนรู้ทุกอย่างใหม่ที่นี่.. Rochester,New York ฮับ :) Professor บอกว่า You done! แล้วเราก็ตีมือกันค่ะ Yessss.. ทีนี้ก็เหลือนั่ง digest ข้อมูลให้ดีดี แล้วก็จะได้ start new project ซะที สิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่อย่างซาบซึ้งด้วยตัวเองในการมาทำแลบที่นี่คือ..งานหนึ่งงานจะสำเร็จและมีคุณภาพอย่างรวดเร็วได้ประกอบด้วย
1.ความรู้พื้นฐานที่จำเป็น.ต้องปึ้กมากที่สุดเท่าที่จะมีได้ รู้จริงและรู้กว้างทุกแขนงยิ่งดี เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผล.เลิศค่ะ(ทำเสียงสูงนิดนึงจะแจ่มมาก)
2.วางแผนดี..มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะฉะนั้น บางทีอาจต้อง."หยุด และ นิ่ง". เพื่อใช้สติให้ดีดีในการมองอะไรให้ไกล ไกลและชัดเจน แล้ว plan ให้รัดกุมก่อนทำ อย่าบ้าพลัง ทำ ทำ ทำ หัวปัก หัวปำ ไปก่อนอย่างเดียวและก็กลับบ้าน เป็งอันซาหลบ เหนื่อยจนพ่อแม่ก็ไม่ได้คุยด้วย เพราะระหว่างทำงานนั้น ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือแปลกใหม่ เราจะรู้ทันที เพราะเราได้วิเคราะห์หา..เหตุและผล..ของการทำงานหรือปัญหานั้นๆแล้ว
3.คิดแล้วต้องลงมือทำ..อย่างตั้งใจ (หรือมีสติ นั่นเอง)อย่างที่ได้วางไว้
4.ย่อย (digest) ผลลัพธ์จากงานที่ออกมา หาข้อสรุป ปัญหา และต้องยอมรับข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อพัฒนางานต่อไปให้ดียิ่งๆขึ้นอีก เพราะคนเรามักจะมองไม่ค่อยเห็นและไม่ค่อยยอมรับความผิดของตัวเอง ไม่รู้ทำไม ทั้งที่มันเป็นทาง..ที่จูนคิดว่าจะทำให้คนเราพัฒนาตนเองเพื่อเป็น"มนุษย์"ที่สมบูรณ์ได้ (จิตใจที่สมบูรณ์ขึ้นนะคะ ไม่ใช่อ้วนสมบูรณ์ซ้า..จนกางเกงรัดติ้ว)

นี่ล่ะค่ะสิ่งที่แอบลักลอบ!!เรียนรู้จาก 47-year-old man คนนึง ที่ได้คำว่า Professor มานำหน้า First name ตั้งแต่อายุ 40 นิดๆ ซึ่งไม่ได้เอาแต่ทำงานอย่างเดียวนะคะ แต่สามารถแบ่งเวลาสำหรับความสุขในสิ่งที่ชอบให้กับชีวิตตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะเราแอบรู้ว่า วันศุกร์ที่ผ่านมากลับเร็ว วันจันทร์หยุดงาน ไปล่ากวางมา!! (กีฬาแสนรัก..ล่าสัตว์!!)ดูเดะ วันนี้มีการเอารูปมาอวดด้วยว่า This is the biggest dear in my life.พร้อมกับ Facial expression ประมาณว่า ภูมิใจสุดฤทธิ์ เราเลยบอกว่า You look so happy in the picture. But the dear was so sadddd. Professor ตอบทันควัน No..he was happy as well. และตอนนี้เจ้ากวางตัวนั้น ก็อยู่ในระหว่างกระบวนการแปลงสภาพไปเป็นไส้กรอกอยู่ค่ะ My godddd!! โอ๊ย จบๆๆ กลับมาเรื่องเดิมดีกว่า.. 4 ข้อข้างบนเนี่ย จูนคิดว่า 1 กับ 2 สำคัญที่สุด (1 มากกว่า 2 นิดนึง)เพราะถ้า 1 ดี ก็จะทำให้ 2 ถูกทาง แล้ว 3 กับ 4 ก็ง่าย แป๊บเดียวเสร็จ แหะๆ ตอนนี้จูนเองทำได้ดีที่สุดแค่ข้อ 3 ค่ะ ข้อ 2 กำลัง learn อยู่ ส่วนข้อ 1 นี่คงต้องใช้เวลานิดนึง พร้อมกับค้นหาตัวเองต่อไปด้วยว่าเรามีใจรักในด้านนี้บ้างรึป่าว ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงมุมมองจากการเรียนรู้ของจูนคนเดียวจนถึงตอนนี้นะคะ ไม่มีคำตอบตายตัวว่ามองได้ถูกต้อง สมบูรณ์รึยัง แต่ก็เผื่อจะ..แบ่งปัน..อะไร ให้กับใครๆ ได้บ้าง กว่าที่จูนจะถ่ายทอดอะไรเรื่องนึงให้ใครได้ จูนก็ได้ผ่านการพิสูจน์ด้วยตัวเองก่อนอ่ะค่ะ ว่าจริงๆด้วยแล่ะ อย่างเช่นทุกคำสอนของพ่อไงคะ จูนนำมาแบ่งปันให้ทุกคนได้ เพราะจูนลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว พบว่า..มันจริง ส่วนไอ้ตอนที่ดื้อและไม่เชื่อก็พบว่า..มันจ๋อย ค่ะ 555

ถ้าเรามองกันดีๆ กับ 4 ข้อข้างบนเนี่ย เราอาจพบอะไรบางอย่างที่นำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตที่แสนวุ่นวายในสังคมปัจจุบันเมื่อเกิดปัญหาได้ ใจความหลักก็ดูเหมือนจะจบลงตรง นิ่ง..มีสติเพื่อมองเหตุและผลของปัญหา..ยอมรับความจริงเมื่อมีสิ่งผิดพลาด..และพร้อมปรับตัวเองใหม่ ..ไม่ใช่เพื่อใครนะคะ เพื่อตัวเราเองนั่นล่ะค่ะ จะได้พัฒนาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็อาจเป็นสิ่งแบ่งวัดความแตกต่างระหว่าง.มนุษย์กับสัตว์.ก็ได้นะคะ สิ่งเหล่านี้ดูจะตรงกับคำสอนของแม่ค่ะ (คราวนี้แม่บ้าง) ที่จะคอยอธิษฐานทุกครั้งว่า ขอให้ลูกมีสติอยู่เสมอโดยเฉพาะเวลาที่ลูกมีปัญหา (แสดงว่าปกติ จูนอาจสติแตกบ่อย จนแม่ต้องกังวล 555)ตอนนี้จูนเองก็กำลังเรียนรู้และฝึกฝนอยู่ค่ะ ก็ยังทำได้ไม่ค่อยดีหรอกค่ะ แต่ก็มีโชคดีอย่างนึงตรงที่พ่อจะสอนเสมอว่า ลูกทหาร..ทำผิดต้องยอมรับผิด และต้องพร้อมที่จะแก้ไข ถ้ากล้าทำผิดได้ ต้องไม่อายที่จะรับความจริง เรื่องนี้เลยไม่ยากเท่าไหร่สำหรับจูน เพราะถูกฝึกมาแต่เล็กแล้ว แต่ไอ้ตรง มีสติอยู่เสมอเนี่ย ก็ต้องฝึกกันต่อไปค่ะ :) To Learn is Happiness อยู่แล้วววว อิอิอิ แล้วคุณล่ะค่ะ พร้อมที่จะเปิดใจ.นิ่ง.ใช้สติและให้เวลาเพื่อ->ตัวคุณเอง<- รึยัง??

October 18, 2005

This HomePage is ours ja :)

วันนี้ไม่มีอะไรเป็นสาระจ้ะ คุยกันวันละนิดจิตแจ่มใสพอหอมปากหอมคอเฉยๆ ตอนนี้จูนก็กำลังพยายามต่อเติม..โฮมเพจ เท่าที่จะลักลอบถาม และมั่วตามภาษาคนไม่ชอบอะไร Hi-Tech อยู่ค่ะ ก็ได้ Stat Counter ที่มุมล่างขวานั่นมา (จาก www.statcounter.com ซึ่งไป Link จาก web น้องๆ ที่เค้า Hi-Tech มา ดีดี้ กับน้องปวร) ไว้สำหรับสำรวจสำมะโนประชากร พลพรรคที่รักที่เข้ามาแวะเยี่ยมโฮมเพจของจูนกัน (แต่ตอนนี้เอาออกไปแล้วค่ะ เพราะคิดว่ามันเป็นแค่ผิวนอกของเวบ ไม่ใช่สาระสำคัญที่เวบอยากสื่อ)ก็พบว่ามีขาประจำ ขาจร ขาอ่อน ขาแก่ หลายท่านที่มาร่วมอมยิ้มกรุ้มกริ่มกับจูน แต่...หลังจากสอบถามก็ได้ความว่า อิอิ มาอ่านบ่อยเชียว แต่.. comment ยังไงอ่ะ งง งง ต้องอย่างงี้สิคะถึงจะคบกันได้ เพื่อนจูนก็ต้องไม่ชอบอะไร Hi-Tech เหมือนจูน แค่ดั้นด้นทำเวบนี้ขึ้นมาได้ เพื่อนก็แตกตื่นจะแย่แล้ว เอาน่านะ จูนผู้ซึ่งไม่ชอบอะไรที่สลับซับซ้อนยังทำเวบนี้ได้ แล้วไหนคนอื่นจะทำไม่ได้ล่ะ จูนก็เลยทำการเข้าไปเซตโฮมเพจใหม่แล้ว เป็นใครก็สามารถcomment ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ username & password อะไรให้ชีวิตยุ่งยากแล้วจ้ะ เห็นคำว่า comments เขียวๆ ข้างล่างแต่ละเรื่องมั้ยคะ คลิกมันเข้าไปเลยค่ะ แล้วก็ระบายความอัดอั้นตันใจกันลงไปใน กรอบสี่เหลี่ยมนั่นเลย เสร็จแล้ว ก็คลิกเลือกในจุดกลมๆ ว่าเป็น other ใส่ชื่อคนเขียน แค่นี้ก็ไม่ต้องใช้ username & password อะไรอีกเลยจ้ะ แค่นี้เอง .เสร็จแล้ว ง่ายขึ้นมั้ยเอ่ย อ้อ! ก็อย่าลืมลงชื่อบอกไว้หน่อยนะคะ เพราะบางทีจูนก็เดาไม่ออกอ่ะค่ะว่าใคร Bar ด้านขวา ก็เพิ่ม Hi-Light เรื่องจากใจที่จูนอยากให้สมาชิกใหม่ได้อ่านค่ะ นอกจากนี้ ที่ Header เขียวๆ ข้างบนตรง Title “To Learn is Happiness” ก็มีเพิ่มเติมที่มาของโฮมเพจของจูน เองจ้ะ (ยังทำไม่ค่อยเป็นค่ะ แหะๆ อาย เลยยัง เบี้ยวๆ และตัวเล็กเกินไปอยู่) ก็ตั้งใจถ่ายทอดในทุกเรื่องราวเพราะจูนอยากให้มันเป็น Homepage สำหรับจูนและทุกคนที่จูนรักและรักจูน ..Page คือหน้า Home คือบ้าน.. ใช่จ้ะ ถูกต้องแล้ว นั่นคือความหมายของจูน จูนอยากให้..HomePage หน้านี้ ที่จูนตั้งใจทำอย่างมีความสุขและมีความสุขที่ได้ทำ คือ..บ้าน..สำหรับ จูนและทุกคน พ่อ แม่ อา น้อง พี่ เพื่อน และสมาชิกใหม่ทุกคน ที่มาร่วมกัน..แบ่งปัน..รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสุข หรืออาจจะแม้แต่ปลดปล่อยความทุกข์ ให้แก่กันด้วยใจ.. 1 ปี มี 365 วัน ถ้ามี 1 วัน ที่ 'ShinyJune Home' ได้ให้.ไอของความอุ่น.ความสุข.และกำลังใจ.กับใครที่กำลังท้อ ให้ลุกต่อไปได้ เท่านี้จูนก็ถือว่า reach goal แล้วจ้ะ ก็ไม่มีอะไร ขอให้ทุกคนมีความสุขไปด้วยกันกับ Home Page นี้นะคะ มีรอยยิ้ม กรุ้มกริ่ม อารมณ์ดี ก่อนคลิกปิดและออกจากเวบนี้ไป จูนก็ดีใจแล้วจ้า.. จูนเอง (@^_^@)

October 16, 2005

รักดอก..จึงหยอกเล่น

กลับมาแล้วจ้า กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างๆ ตาตี่ๆเป็นเส้น เป็นประกาย เพราะ..ขอบคุณมากสำหรับทุกความเป็นห่วง.. ทั้ง comments, mails & telephone ค่ะ ต่อไปนี้จะดูแลตัวเองดีๆนะ ดีใจที่ได้รับรู้ว่ามีใครที่รักและห่วงใยเราแบบนี้ นี่ถ้าเกิด จูน ไม่สบายเพราะมีใครมาทำให้ไม่สบายใจล่ะก็ เพื่อนๆจูนคงโกรธคนนั้นน่าดูเลยนะเนี่ย งั้นวันนี้ขอเผากันแบบ..รักดอกจึงหยอกเล่น..หน่อยละกัน ขอเรียกเธอทั้งหลายกลุ่มนี้ว่า "Flintstone Group"อันนี้เป็นชื่อที่จูน ตั้งเองไว้ใน address book (ไม่มีใครรู้ลาซี) เพราะว่าเราคบกันมาตั้งแต่สมัย ม.ต้น สตรีวิทยา สคูล มันนานจนรู้สึกว่าเป็นเพื่อนสมัยยุคหิน Flintstone จริงๆและก็ยังเหนียวแน่นกันมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงเพื่อนรักกลุ่มนี้ จูนจะนึกถึงการฝ่าฟันและฟาดฟันเสมอ!! (อันนี้พวกเธอๆ ทั้งหลายคงไม่รู้) ที่จูนคิดแบบนี้ก็เพราะ ใครๆเค้าก็รู้กันว่าคุณพ่อหวงลูกมากกกกก (จริงมั้ยอ่ะคะคุณพ่อ ถ้าคุณพ่อใช้เนตได้อยากให้มาเจิม การเขียน comment ให้ลูกสาวจัง) จนมีคนเคยบอกว่าจูนเป็น 'ไข่ในหินที่ถูกฉาบคอนกรีตทับอีกที!!' เพราะฉะนั้นเมื่อก่อนนี้ ถ้าจะไปเที่ยวไหนที จูนรู้สึกว่ามันยากลำบากและเป็นภาระของเพื่อนมาก กว่าจะขอพ่อไปได้ แต่เพื่อนกลุ่มนี้จะไม่เคยย่อท้อ หรือปล่อยให้จูนเดียวดาย อดไปอยู่คนเดียว พวกเธอจะช่วยการฝ่าฟัน สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้พ่ออนุญาติให้จูนไปให้ได้ ช่วงแรกพวกเธอต้องมาขอนุญาติกันเอง และพวกเธอจะต้องรักษาคำพูดเรื่องเวลาการกลับถึงบ้านของจูน แม้บางครั้งพวกเธอยังอยากสนุกกันต่ออยู่แต่เธอก็ตกลงใจกลับเพราะเดี๋ยวคราวหน้าไอ้จูนมันอดมาอีก สมัยที่จูนยังไม่ขับรถพวกเธอก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันรับและส่งจูนกันให้ถึงหน้าประตูบ้านเพื่อที่คุณพ่อจะได้เชื่อใจและสบายใจ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ตลอด 100% ทุกครั้งที่พวกเรานัดกัน พวกเธอไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้บกพร่องเลยแม้แต่ครั้งเดียว จูนกล้าพูดได้อย่างนั้น ปัจจุบันนี้พวกเธอทำสำเร็จแล้วค่ะ พ่อหนุ่ยเปิดป้ายผ่านสำหรับเพื่อนกลุ่มนี้ เดี๋ยวนี้เราสามารถไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันก็ไปมาแล้ว (ลาว เขมร อะไรงี้อ่ะค่ะ 555)โดยจูนไม่ต้องขออนุญาติล่วงหน้าสองเดือนเหมือนเมื่อก่อน นัดทานข้าวกัน พ่อหนุ่ยก็ไว้ใจแล้ว บางทีสี่ทุ่มก็ไม่ว่า เพราะพ่อเชื่อใจ (ขอบคุณนะคะ คุณพ่อ รักคุณพ่อจัง)มาเริ่มกันเลยดีกว่า ว่าพวกเธอเป็นใครบ้าง ความยาวตามวีรกรรม ก่อนหลังตามเรื่องราวที่นึกได้ ไม่ได้เรียงตามอันดับความงามใดๆทั้งสิ้น

คนแรก สาว น. Research & Development ของบริษัทแห่งหนึ่ง
จูนแอบตั้งชื่อเธอไว้ในใจคนเดียวมาตลอดว่า 'เจ๊ลุย' หรือพระจันทร์ของเพื่อน เพราะเธอมีหน้าผากโดดเด่นเป็นสง่า โหงวเฮ้ง..ซิ้มถือพัด ตามตำราจีนทีเดียว เธอคือผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนและผลประโยชน์ของเพื่อน!! ไปเที่ยวที่ไหน ถ้าใครเอาเปรียบเพื่อนฉัน มันตาย!! เป็นต้นว่า กินข้าวแล้ว อาหารมาช้า เย็นชืด ไม่อร่อย โกงบิล อะไรแบบนี้ เธอลุยหลังร้านได้เสมอ อันนี้คนอื่น confirm กันหน่อยนะคะ เผื่อเจ้าตัวปฏิเสธ หุหุหุหุ แต่ที่จริงแล้วเธอมีจิตใจดีงาม และรักเพื่อนมากจริงๆ อันนี้ขอยืนยัน เธอจะเป็นขาใหญ่ในการจัดการนัดเพื่อน ถ้าใครไม่ว่างวันไหน เธอล้มวันนั้น หาวันใหม่ทันที เพราะอยากให้พวกเราได้เจอกันครบ ขอบคุณเธอมาก และพิเศษ เราแอบรู้ว่า เธอเข้ามาเยี่ยมเวบเราทุกวัน วันละหลายครั้งด้วย และเธอต่อสายตรงถึง USA ทันทีที่รู้ว่า จูนปวดหัวไม่สบาย เธอโทรเข้า apartment เพราะเธอจำไม่ได้ว่าอันไหนมือถือ ทำให้เจ๊ไอรับสาย พอจูนรับ เธอมาเป็นชุด "นี่แกไปไหน ทำไมเอามือถือไว้กับเจ๊ไอ แกรู้มั้ยฉันยิ่งไม่อยากพูดภาษาอังกฤษอยู่ เจ๊ไอพูดไรก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่สน นอกจากพูดคำเดียวดังๆ ว่า.จูน.พอ" จูนงงและตอบ ไป "คือแกโทรผิดเบอร์อ่ะ น. นี่เบอร์ Apm นะ ไม่ใช่มือถือ เค้าก็เลยรับไง" สาว น."อ้าวหรอ" อิอิ น่ารักมั้ยคะท่านผู้ชม แต่สุดท้ายแล้วก็จบลงตรงหัวใจที่รักและเป็นห่วงเพื่อนอยู่ดี ขอบคุณจ้ะ ขอบคุณสำหรับหัวใจที่ยิ่งใหญ่ในความรักเพื่อน สาว น.
สาว จ. วิศวกรประจำโครงการบ้านร้อยล้าน
คนนี้ก็..ขาลุย.. มือวางอันดับสองเช่นกัน แต่ลุยแบบนุ่มๆ ลุยคนละ Style กับสาว น. เธอมีรอยยิ้มน่ารัก พริ้มพรัก 'ตาเป็นรูปกล้วย' เธอเป็นเพื่อนที่จูนรู้สึกว่า sport มาก ใจกว้าง แบบไหนทำให้ได้หมด ขอแค่ให้บอก ได้เปรียบเสียเปรียบไม่มีคำนี้ในใจเธอสำหรับเพื่อน บางทีเธอต้องตีรถมาส่งเพื่อนแถวฝั่งธนตอนดึกแล้วเธอก็ตีรถกลับไปแถวเอแบคใหม่ เธอจะทำหน้าที่เป็นคนขับรถที่ดีเยี่ยมและปลอดภัยเสมอที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน เพื่อนมันหลับ กรนดัง น้ำลายยืดๆๆๆ เธอไม่เคยบ่น เธอก็ขับๆๆๆ ตากแดด แขนดำ ต่อไป จนถึงที่หมาย ..เอ้า พวกแก ตื่นกันได้แล้ว ถึงแล้ว.. น่ารักอีกแล้วใช่มั้ยคะท่านผู้ชม เธอคนนี้ก็ไม่ชอบพูดภาษาอังกฤษอีกเช่นกัน แต่เดี๋ยวนี้เธอพัฒนาแล้ว เธอพูดกับเจ๊ไอได้เป็นประโยคและสามารถขอพูดกับจูนได้รู้เรื่องทีเดียวค่ะ นอกจากนี้เธอก็มีน้ำใจ อยากสอนคุณพ่อกับคุณแม่ของจูนใช้ computer & internet ด้วยความเต็มใจ น่ารักใช่มั้ยล่ะคะ นี่ละค่ะ สาว จ. ใจเกินร้อยของเรา
สาว ผ. เภสัชกรสาว ชาว อ.ย.
เธอเป็น..แม่ศรีเรือน..ประจำกลุ่ม เธอทำขนมมาให้เพื่อนทานเสมอ ขอรับรองความอร่อยโดยจูนค่ะ ได้แต่หวังให้เธอเปิดร้าน เราจะได้ไปอาศัยชิมฟรี แต่มีครั้งนึงมีเค้กหินมาแบ่งเพื่อนค่ะ แข็งเป๊กกก เลยค่ะท่านผู้ชม (ที่ร้าน Water Front ไง จำได้ป่าว)จนเพื่อนๆ บอกว่าอันแข็งเอามาให้เพื่อน อันนิ่มเอาไปให้แฟน 555 เธอเป็นคนจัดตู้ยายังชีพให้จูนมา USA นี่เองล่ะค่ะ เธอน่ารักมาก ก่อนจูนเดินทาง โทรหาเธอบอกว่า พรุ่งนี้ค่ำให้เธอมาช่วยจัดกระเป๋าหน่อย ของเยอะเราไม่รู้จะเริ่มจัดไงดี เธอตอบรับทันทีไม่มีลังเล เย็นวันรุ่งขึ้นเราไปรับเธอ เธอว่า เธออยู่เซ็นปิ่น มาเดินซื้อของ แต่ที่แท้เธอไปหาซื้อยาสารพัดยา ที่ร้านบูธให้เราค่ะมีครบทุกขนาน ทุกสถานการณ์โรคเลยทีเดียว ขอรับรอง และไม่ลืมที่จะกำชับให้พนักงานติดฉลากยาเป็นภาษาอังกฤษ เผื่อ immigration ให้เราด้วย ตอนนี้เธอหลบพักร้อนมาเยี่ยมน้องชายที่แคนาดาค่ะ เธอส่งของมาให้เรา แบบลงทะเบียนและจ่าหน้าว่า June & นามสกุล เราต้องไป Post office เซ็นรับซะด้วย แต่เธอเขียนอักษรนามสกุลผิดจากที่เราใช้ตัวนึง แต่ทั้งหมด synonym ก็คือคำเดียวกัน แต่ทีนี้ ID card ของจูนเป็นชื่อจริงน่ะสิคะ นามสกุลก็เขียนไม่เหมือนกัน ฉะนั้นจูนเลยต้องไปหาใบยืนยัน ว่าชื่อจริงของจูนแบบนี้ อยู่ Apartment นี้ ห้องนี้จริงๆ ละถ้าอ่านนามสกุลดีๆ มันก็ออกเสียงเหมือนกันใช่มั้ยคะ สุดท้ายคุณป้าไปรษณีย์ก็เลยบอกว่า "Alright" แล้วคุณป้าก็บอกด้วยสีหน้าเมตตาปนเป็นห่วงจริงๆนะคะ ว่า หนูต้องไปบอกให้เพื่อนหนูเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมนะจ๊ะ จะได้ well english นะ ป่อยยยยย 555 จูนเลยต้องบอกว่าปกติเราใช้ภาษาไทยกัน เราเลยไม่ได้สนใจกับตัวสะกดภาษาอังกฤษมาก คุณป้าก็เลยอ๋อ ค่ะ ป้าห้ามว่าเพื่อนหนูนะคะ นี่มือวางอันดับสองของกลุ่มเรื่องการพูดภาษาอังกฤษแล้วนะ นี่ล่ะค่ะ สาว ผ. อย.เบเกอรี่ของเรา
ต่อมา สาว บ.สาวนครปฐม ส้มโอหวาน
เธอน่าจะเป็นมือวางอันดับหนึ่งเรื่องภาษาของกลุ่มเราเพราะเธอเรียนเอแบคค่ะ เธอจะมาพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้ว สดใส ร่าเริงเสมอ ตลอดการเดินทางไปเที่ยวไหนเธอจะมีเรื่องเล่ามากมายให้เราไม่เหงา เราจะไม่ได้ยินเสียงเธอเฉพาะตอนกินกับตอนหลับค่ะ!! เธอจะเป็นคนคอยจัดหาซื้อข้าวของนำแฟชั่น ซีดี คาราโอเกะ ให้จูนค่ะ เธอชอบป๋าเบิร์ดมาก ไม่รู้จะคลั่งไคล้อะไรขนาดนั้น ล่าสุดเธอทำเป็นแซวเราค่ะ หาว่าเราเป็น..แม่บ้านคนอร์.. เพราะทำกับข้าวทุกอย่างต้องใช้คนอร์ถึงจะอร่อย แหม บ.จ๋า จูนอ่ะมือใหม่หัดหุง ได้แค่นี้อร่อย ก็ดีใจจะแย่แล้วน๊า ว่างๆ ทำให้ทานอย่ามาสะกิดติดใจ ให้ทำให้ทานอีกละกันน๊า บางทีเธอก็ตื่นเช้า on MSN มาคุยกับจูน เพราะกลัวจูนจะเหงาร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่คนเดียวค่ะ เธอเคยโทรหาคุณพ่อเราด้วย น่ารักมาก "สวัสดีค่ะขอพูดกับคุณพ่อค่ะ" พอพ่อรับสาย "เอ้อ จูนเหรอลูก" สาว บ. "ป่าวค่ะ ไม่ใช่ค่ะ นี่ลูก บ. ค่ะ ไม่ใช่ ลูกจูน" 555 ก็น่ารักกันไป น่ารักอีกแล้วใช่มั้ยคะสำหรับเพื่อนจูน สาว บ. ยี่ห้อรถชนิดหนึ่ง
สาว อ. แดนจิงโจ้
เธอคนนี้เป็นลูกสาวเจ้าของโรงสีข้าว ตอนนี้กำลังทำ Post-grad ที่ Australia ค่ะ เราไม่ได้ข่าวเธอสักพักแล้ว แต่ถึงยังไงพวกเราก็ยังรักเธอ สมัยเรียนเธอเป็น "ขาหลับ" ค่ะ หลับได้หลับดี หลับเกือบทุกชั่วโมง แต่เธอหลับเนียนค่ะ หลับแบบครูจับไม่ได้ แต่ถึงเธอหลับเธอก็รู้เรื่องค่ะ เพราะฉะนั้นก็ต้องปล่อยเธอหลับต่อไป ล่าสุดที่ได้คุยกันเธอบอกว่าเธอเบื่อเมือง Pearch มาก เมืองอะไรไม่รู้ มีแต่คนไทย ฉันยิ่งอยากฝึกภาษาอยู่ อืมมมม อ.จ๋า มา Rochester มั้ยจ้ะ ไม่มีคนไทยแล้วอยากฝึกภาษาสำเนียงชาติไหน จัดให้ ได้หมด
ท้ายสุด สาว ต. คุณหมอหัวเหม่ง
จะว่าไปจริงๆแล้วเธอคนนี้รู้จักกับจูนตั้งแต่ ป.1 ทีเดียวค่ะ แล้วก็มาเข้ามัธยมเดียวกันต่ออีก เธอเป็น..เหม่ง 1.. ของเพื่อน นำหน้าสาว น.พระจันทร์ของเรา พวกเราเลยต้องยกตำแหน่งพระอาทิตย์ให้เธอไป ปัจจุบันเธอเป็นคุณหมอ รพ.ทรวงอก เธอ busy เหลือเกิน นัดทีไร ไม่เคยว่าง และห้ามเกินเขตตลิ่งชัน เอาเข้าไปนั่น เราไปไหนกันไม่ไกล ได้แค่ เซ็นปิ่น แต่เราก็เข้าใจเพราะเธอต้องทำงานเพื่อปวงชน เมื่อก่อนเธอก็กะโปโลเหมือนพวกเรานี่ล่ะค่ะ ไม่ค่อยสนใจอะไร ช่วงปี สองปีหลัง เราว่าเธอดูเปลี่ยนไป ใส่คอนแทค เลนส์ แต่งหน้าพองาม สุดท้ายเราจับได้จากเพื่อนเธอค่ะว่า เธอแอบมีแฟนแล้วนี่เอง 555 ดีใจจัง ขอให้มีความสุขมากๆนะจ๊ะ มีข่าวดีเมื่อไหร่บอกด้วยจ้า

พอเท่านี้ก่อนดีกว่า แค่นี้ก็คงมีหลายคน อยากเอาคืนจูนจะแย่แล้ว อิอิ แก้ข่าวกันเองนะจ๊ะ นี่ล่ะค่ะ Flintstone Group; FG.SW(Satri Withaya) ของจูน อ่านแล้วสนใจคนไหน ก็ติดต่อจูนมาเป็นการส่วนตัวได้นะคะ เป็น Agency ค่ะ เห็นพวกเราแบบนี้ เราก็ผ่านอะไรด้วยกันมามากมายนะคะ เพราะทุกคน(รวมทั้งจูน)ก็มีนิสัยแตกต่างกันออกไป การแสดงออกและดำเนินชีวิตก็ย่อมต่างกัน ไม่มีใครมีความสุขตลอดเวลาหรอกค่ะ บางครั้งพวกเราก็ทะเลาะกัน ไม่พอใจก็มี ว่ากันแรงๆตามเนื้อผ้าก็มี แต่ที่พวกเรากอดคอหัวเราะ ร้องไห้มาจนถึงวันนี้ด้วยกันได้ ก็คงเพราะ "ความรัก ความจริงใจและพร้อมที่จะให้อภัยกันตลอดเวลา" นี่ล่ะค่ะคำว่า ..เพื่อน.. เพื่อน..คุณหาได้มากมาย แต่เพื่อนแท้เท่านั้น ที่จะยังอยู่เคียงข้างคุณในวันที่คุณมีน้ำตา และแม้ว่าคุณจะทำอะไรผิดในสายตาคนอื่นแค่ไหน แต่เค้าก็ยังรักคุณ เพียงแค่เพราะคำเดียวคือ .เพื่อนฉัน.ฉันรักมัน มันรักฉัน แล้วใครจะทำไม คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า.."หัวใจที่แท้จริงของทุกคน"..ที่จะต้องช่วยกันแต่งเติมแบบนี้ต่อไป จึงจะเป็นสิ่งที่ยาวนานและสวยงามที่สุด..ตลอดไป..ได้ สำหรับเพื่อนรักกลุ่มอื่น กลุ่มแอน น้องดีดี้ และกลุ่ม PT. ทุกคนก็คือเพื่อนรักของจูนเหมือนกันจ้ะ รักและคิดถึงทุกคนนะ จูนเอง


October 11, 2005

ไม่รู้เป็นอะไร

วันนี้ปวดหัวมากเลย ไม่รู้เป็นอะไร.. ปวดตาด้วย.. ไม่อยากทานยาเลย ไม่ชอบทานยา :~~~~< ฮือๆๆๆ Don't wanna miss a thing.

October 09, 2005

Public Market กับผักเป็ด ผักห่าน

Good Morningggg.. สวัสดีค่า วันนี้มาพร้อมกับอากาศสดชื่นนนน วันนี้ฝนตก อากาศเย็นมาก (คำนวนแล้วเท่ากับ 10 กว่าองศาเซลเซียสฮับ)เป็นวันเสาร์ แต่ตื่นมาดำรงชีวิตตั้งแต่ 8 โมงเช้าค่ะ!! อย่าพึ่งตกใจไป ไม่ได้ไปทำแลบจ้ะ แต่วันนี้เพื่อน(Whithney)มารับไป Public Market ก็ประมาณตลาดสดนี่เองค่ะ คือเพื่อนบอกว่าถ้าซื้อที่นี่จะถูกกว่าที่เราเคยไปซื้อที่ grocery store (Wegmans)เยอะ เพราะคุณลุงคุณป้าชาวไร่ ชาวสวนขนใส่รถมาขายกัน ตัวจริงเสียงจริงค่ะ ก็ถูกกว่าจริงๆ สิริรวมแล้วจ่ายไปแค่ $24 แต่คาดว่าจะรอดตายไปได้เกือบ 3 อาทิตย์ จากปกติเงินเท่านี้ ซื้อที่ Wegmans ได้แค่ 1 อาทิตย์ อากาศเย็นมากกก แต่สดชื่นดี ชอบ ชอบ สนุกดี ปกติไม่มีทางหรอกค่ะที่จูนจะไปตลาดสด เพราะตลาดบ้านเรามันจะแฉะๆ เลอะๆ แล้วก็เหม็นด้วยอ่ะ (อย่าว่าน่าหมั่นไฉ้ เลยน๊า..)แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน ไม่สกปรก แล้วพืชผักมันก็สวยแปลกตาดี เลยสนุก Whithney บอกว่าอยากให้ลองมาดูที่นี่เพราะมัน save your money. So, you will have more money to travel. ก็โอเคเลยอันหลังนี่ชอบบบ จากผลการสำรวจและประเมิณ จูนพบว่ามันถูกกว่าจริงๆค่ะ คุณภาพเหมือนกันทุกประการ เพราะคุณลุงคุณป้าเนี่ยก็เอาไปส่งขายให้ที่ grocery store นี่แล่ะ ก็ดูและชิมแล้วรสมันเหมือนกันเลยอ่ะ อะไรๆ ส่วนมากก็ $1 ชอบจริงๆเลย แต่เราแค่ต้องตื่นเช้าไปซื้อเพราะเค้าขายแค่ช่วงเช้า แล้วก็เอามาปอกเข้าตู้เย็นเองแค่นั่นแล่ะ ซึ่งก็สนุกดี ..หอมแดงลูกเท่าหอมใหญ่แน่ะ แล้ววันนี้จูนก็แกะกุ้ง หั่นไก่ ล้างน้ำเกลือให้สะอาดแล้วก็แช่ Freezer ด้วยยย เก่งป่าวววว (มีการโทรถามพี่น้อยก่อนด้วย ว่าล้างน้ำอะไร อิอิ)โด่เอ๊ยย เก่งนะ แล้วก็ไม่ต้องถามพี่น้อยก็ผ่าหลังกุ้ง เอาไอ้เส้นดำๆ ออกเองเป็นด้วย ไม่เห็นยากเลย จิ๊บ จิ๊บ แต่ปอกหอม น้ำตาไหลพรากๆ เลย วันนี้เลยรู้สึกมีความสุขและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นจูน เพราะถึงจะไม่เคยทำกับข้าว แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็ใช้ได้น๊า บ้าเนาะแค่นี้ก็มีความสุข ตลกจริงๆ (@@@^___^@@@) เอาเป็นว่าเก็บรูปมาฝากจ้ะ


อะไรเอ่ย....
มันคือมะเขือเทศทั้งหมดจ้ะ
หลายสี หลายรูปร่าง หลายพันธุ์ น่ารักเนาะ:)




ให้ทายอีกว่าอะไร..ติ๊กต่อกๆๆๆๆๆ ทายไปเหอะไม่มีมีคำตอบให้หรอกค่ะ เพื่อนกับคุณคนขายบอกชื่อแล้วแต่จำไม่ได้ รู้แต่ว่ามันเหมือนเป็ดเลยอ่ะ ลูกละ $5 ตามป้ายนั้นล่ะจ้ะ ขอเรียกมันว่า ผักเป็ด ผักห่านละกัน!! เห็นแปลกดี เลยเอามาฝาก ขนาดเจ๊ไอยังไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตเลยนะ ถ้าซื้อมาแล้วมันจะร้องก้าบ ก้าบมั้ยอ่ะ?!


พริกค่ะพริก มีมันทุกแบบ..ขอโทษค่ะที่รูปไม่ชัดหนาว มือสั่นค่ะ โปรดสังเกตุมุมบนซ้าย Thai Hot!!มากับเค้าด้วย โด่งดังนะเนี่ย ไม่ใช่เล่นๆ มาใช้ชีวิตที่ Rochester กะเค้าเหมือนกัน สงสัยน้องพริกคงจะรู้สึกหนาว เหมือนน้องจูนแน่ๆเลย ถึงต้องหลบเพื่อนไปอยู่ข้างหลังคนเดียว ส่วนทางขวา เป็น Mixed Hot จ้ะ





รูปซ้าย ทายไม่ถูกล่ะซี๊ These are Mangoes!! แต่ราคาที่เห็นน่ะ ต่อลูกค่ะ เลยไม่กล้าซื้อ หน้าตาไม่เหมือนน้องฟ้าลั่นบ้านเราเลย ขวาก็ Pumpkin ยักษ์มาก ว่าจะซื้อมาหลอกเจ๊ไอแล้ว ว่าจัด Halloween party ตั้งข้างไม้กวาดเข้ากันพอดี


เท่านี้ก่อนละกันพอหอมปากหอมคอนะคะ :) ที่จริงมีอยากให้ดูอีก แต่แค่นี้ก็จัดรูปในโฮมเพจนี้ยากมากแล้ว ช่วงนี้เห็นว่าเมืองไทยฝนตกทุกวัน ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะค๊า ระวังเป็นหวัดนะจ๊า เป็งงงห่วงงง ทุกคนเลยจ้า..จูนเอง ปล.ตอนกะลังเขียนเรื่องนี้ เจ๊ไอ..มานั่งทานข้าวข้างๆด้วยล่ะ แบ่งซุปไก่ให้กินด้วยน๊า เจ๋งป่าววว!! :P

October 08, 2005

ว่าด้วยเรื่อง..เงินๆทองๆ..

อืม....วันนี้จะเขียนเรื่องอะไรดีล่ะ (มี plot อยู่หลายเรื่อง เลยไม่รู้เล่าอันไหนดี) เขียนเรื่องง่ายๆ ทั่วไปในการอยู่ที่นี่ดีกว่า (ก็อาจน่าเบื่อหน่อย สำหรับใครที่ผ่าน USA มาแล้วนะคะ แต่ถ้ามีตรงไหนผิดพลาด ก็ยินดีต้อนรับ click comment เข้าไปแก้ไขให้สมบูรณ์เพื่อ “แบ่งปัน” กันได้เลยจ้า) ก็เป็นอะไร simple simple ที่นี่ดีกว่า แต่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และทำความเคยชินสำหรับจูนทีเดียว ..ว่ากันด้วยเรื่องเงินๆทองๆ ก่อน.. เงินที่ได้รับจ่าย (ประมาณ เงินเดือนนี่ล่ะ)จากการทำงาน.. บ้านนี้เมืองนี้เค้าใช้คำว่า ‘stipend’ กัน ไม่ ได้ใช้คำว่า salary เหมือนที่เคยรู้จัก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เปิด dictionary แล้วความหมายไม่เห็นจะเข้ากันเลย หรือเพราะว่าเค้าจ่ายเป็นรายครึ่งเดือนก็ไม่รู้ ไม่ใช่รายเดือน จูนก็ได้รายครึ่งเดือนแล้วก็ทำเรื่องให้โอนเข้าบัญชีธนาคารไปเลย (ก็แล้วแต่ บางคนก็รับเป็น cheque) ไปไหนอย่าได้พูดคำว่า salary เชียว เค้าจะทำหัวคิ้วติดกันในบัดดล ประมาณว่าอะไรจ๊ะหนู ไม่รู้จัก แต่พอเปลี่ยนมาเป็น stipend ปั๊บ หัวคิ้วห่างออกจากกัน แล้วก็ อ๋อ ทันที ไม่รู้เพราะเราออกเสียงไม่รู้เรื่อง รึเค้าไม่ใช้กันแน่ แต่ตั้งกะอยู่มาก็ไม่เคยได้ยินใครใช้คำว่า salary ซักคนจริงๆ.. ธนาคารก็เป็นอีกที่ ที่จูนชอบไปฝึกภาษา สมุดธนาคารที่นี่ก็ไม่ได้ Hi-So เหมือนบ้านเรา คือว่าเป็นแค่สมุดปกอ่อนอะไรไม่รู้ แถมต้องมาเขียนบันทึกการฝาก-ถอน ด้วยลายมือกันเองด้วย ไม่ใช่ว่าจะเดินไปยื่นสมุดแล้วก็ให้เจ้าหน้าที่ update ที่ computer กันง่ายๆอย่างงั้น ถ้าเราอยู่เมืองไทยก็แค่เดินไปเคาน์เตอร์ยื่นสมุดบัญชี บอกว่า update ค่ะ ใช่มั้ยคะ แต่บ้านนี้เมืองนี้ อย่าได้เดินไปพูดว่า update account เชียว จะหัวคิ้วชนกัน อะไรจ๊ะหนู (อีกแล้ว) ซึ่งครั้งแรก ดญ.จูน ก็ได้น่ารักใช้ประโยคนั้นไปเรียบร้อย โชคดีที่สมองยังสั่งงาน นึกย้อนไปถึง..มือถือแบบเติมเงิน ว่าเค้าใช้คำว่า ‘check balance’ กัน ก็เลยรอดไป แต่เค้าไม่ค่อยนิยมกันหรอก ส่วนมากเค้าจะทำทุกอย่างผ่านทาง intrtmet ผ่าน online website ของธนาคารมากกว่า ตั้งแต่การเปิดบัญชีไปจนโอนเงิน ซึ่งเดี๋ยวนี้ ดญ.จูน เขาก็พัฒนาแล้ว (ต้องทำเสียงเหน่อตอนพูดด้วย จะได้อารมณ์มาก) สามารถ เข้าไป check ยอดเงินผ่าน website เป็นแล้ว หลังจากเป็นโรคแพ้ของ Hi-Tech ตลอดมา (ใครๆเค้าก็รู้กัน) และที่นี่..ไปไหนมาไหนก็ใช้จ่ายกันด้วย debit card, credit card หรือ cheque กัน 90% ทีเดียว แต่จูนเธอก็ยังไม่ค่อยชิน ใช้เป็นเงินสดอยู่เป็นส่วนใหญ่ (ใครๆ ก็บอกว่าอันตราย แต่มันง่ายในการควบคุมค่าใช้จ่ายของตัวเองนี่นา) ขนาดมือถือก็ยังสั่งผ่าน Internet แล้วก็ส่งมือถือใส่กล่องมาให้กันง่ายๆ ซะอย่างงั้นอีก(ทั้งที่ได้ตัดเงินผ่านบัตรเราไปแล้ว) ธนาคารที่เราไปเปิดบัญชีเนี่ยเค้าก็จะส่ง debit card & cheque book ที่ print ชื่อ นามสกุลเรา มาให้ทางไปรษณี่ย์หลังจากเปิดบัญชี ส่วน cheque เนี่ยก็จ่ายให้กันง่ายๆ โดยส่งกันทางจดหมายธรรมดา ติด stamp ไม่ต้องลงทะเบียน ง่ายๆ กันซะอย่างงั้นอีกแล้ว ซึ่งอันนี้จูนก็ยิ่งไม่ชินแน่ๆ เลยยังไม่ได้ฉีกมาใช้ซักกะใบ อ้อ..มีลายปลาวาฬกับลาย Looney Tunes ที่ cheque ด้วยนะคะ ก็น่ารักกันไป พูดถึงเรื่องการ์ตูน ที่นี่เค้าไม่มีของใช้ลาย คิตตี้แมวน้อยสีชมพูกันหรอก แต่เคยเห็นอยู่บ้างเหมือนกัน วันนี้เห็นฝรั่งผมทองคนนึงใส่เสื้อลาย Kitty นี่แล้ว รู้สึกว่ามันไม่เข้ากันซะเลย ดูขัดๆ ยังไงบอกไม่ถูก เลยพึ่งเข้าใจว่า มิน่าล่ะ เลยไม่มีวางจำหน่าย มันไม่เข้ากันด้วยนี่เอง.. จบก่อนดีกว่า ชักยาวไปแล้ว ยังได้ไม่ถึงครึ่งของเรื่องที่อยาก..แบ่งปัน..ในวันนี้เลยอ่ะ ไม่เป็นไร เจอกันใหม่รอบหน้าแล้วกันจ้ะ.... ร๊ากกกกก ทุกคนค่า

October 05, 2005

San Diego & New Learning

เป็นไงล่ะ..วันนี้เสื้อแดง.แผลงฤทธิ์ ค่ะท่านผู้ชม อ้อ อย่าพึ่งตกใจไป! จูนไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครค่ะ ยังค่ะยัง แค่วันนี้ใส่เสื้อแดงแล้วรู้สึกว่านำโชคนิดหน่อย (หลังจาก Weekend มีแอบเศร้า เหงาใจ ไกลบ้าน..ภาษาเชยมาก 555)ก็แบบว่าเหนื่อยยยยย มาหลายวัน เริ่ม start lab ตั้งกะ 7 โมงเช้า!! มาตั้งแต่วันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร (หยุดวันเสาร์วันเดียว)อาทิตย์ที่แล้วก็ทำตลอด แล้วก็มีปัญหาเดินไปถาม Professor บ่อยมากทุกวัน วันละหลายเวลา (เหมือนยาก่อนอาหาร ยังไง ยังงั้นเลย)จนคิดว่า Professor ต้องรำคาญมากแน่ๆ ที่มาถามบ่อยเกิน สามวันนี้เราเลยงอน..ไม่ไปถามละ จะทำเอง อิอิ เย็นวันนี้ Professor เลยเดินมาถามว่า ที่สั่งสารไปอ่ะมารึยัง ก็ตอบไป แล้วจูนก็บอกเรื่องการประชุมวิชาการที่ Ph.D student ของทุนนี้ต้องไป ปกติภาควิชาที่เมืองไทยเนี่ย มักจะไป Experimental Biology Meeting กันเยอะมาก แต่ว่าที่ภาควิชานี้ (ที่ Rochester)เค้าจะไปอีกงานนึงคือ Society of Toxicology Meeting ซึ่งหมดกำหนดส่ง Abstract เข้าแสดงผลงานเมื่อวานนี้ แต่ทีนี้ Professor คิดว่าไปอันนี้น่าจะดีและก็มีเพื่อนในแลบไปกันอีกสามคน ก็เลยอยากให้ไปที่นี่ ที่ San Diego แต่มีอีกเหตุผลที่น่ารักมาก ที่ Professor บอกคือ June,it's very beautiful place. Ok ค่ะ งั้นแบบว่าจูนอยากไปค่ะ (แต่บางคนก็ว่า San Francisco สวยกว่า เอาแล่ะ ไปที่ไหนก็ได้ ให้มีความสุขใจอันนั้นสำคัญกว่า) ทีนี้ Professor ก็เลยปวดหัวว่า June เราจะทำยังไงกันดีล่ะ หมดเขตส่งเมื่อวานนี้ เพื่อนก็ส่งกันไปหมดแล้ว We should discuss it yesterday. (ก็เมื่อวานนี้งอน ไม่อยากไปถามไรนี่นา กลัวรำคาญอ่ะ) สุดท้าย Professor เลยตัดสินใจไปนั่งแก้ Abstract ให้กันใหม่ (เดิมจูนเคยลองเขียนให้ดูก่อนแล้ว)แล้วเราจะส่งวันนี้กันให้ได้ เดี๋ยวจะช้าเกินไปใหญ่ เสร็จแล้วก็ send e-mail ให้จูนกับเพื่อนอีกคน เพื่อให้เพื่อนมาช่วย submit ให้ เพราะต้องเข้าไปลงทะเบียนอะไรก่อนหลายอย่าง แต่ที่รู้สึกดีใจ ไม่ใช่ที่จะได้ไปอันนี้หรอก แต่เพราะทุกคนต่างหาก เพราะปกติแล้ว Professor จะรีบกลับบ้านก่อน 4 โมงครึ่งทุกวันเพื่อทำหน้าที่ Family Man ที่ดี เพราะฉะนั้นถ้าใครจะมาคุยงานหลัง 4.30 PM เป็นอันว่าคุณหมดโอกาสนั้นเดี๋ยวนี้ แต่วันนี้ยัยจูนดันเสร่อคุยเรื่องนี้ตอน 4.20 PM แล้ว Professor ยังอุส่าห์มานั่งแก้ Abstract ให้ และก็รอจนจูนกับเพื่อน submit ในเวบให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะกลับอ่ะ ก็ 5โมงครึ่งแน่ะ เลยรู้สึกทราบซึ้งปนรู้สึกผิด ง่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้กลับช้าเป็นประวัติการณ์ (จน David มาถามเราว่า แปลกมากทำไมวันนี้ Professor go home late..ก็เพราะ Thai student กะโปโล นี่อ่ะดิ)ขอบคุณมากๆนะคะ แล้ว June จะตั้งใจทำงานให้มากขึ้นกว่าเก่าอีกนะคะ (ทีนี้เริ่มทำตั้งกะ ตี 5 เลยเป็นไง) แล้ว Society ก็มีเมล์มาว่า submitted แล้ว แต่อย่าพึ่งดีใจไป ไม่ได้หมายความว่าได้ไปแน่นอนนะ Professor บอกว่า เราส่งช้าไปวันนึงพรุ่งนี้เค้าอาจจะเมล์มาใหม่ก็ได้ คืออาจจะอดไปก็ได้ ยังไงก็ตามไม่ว่าสุดท้ายจะได้ไปหรือไม่ได้ไป แต่ประสบการณ์ที่ได้ Learn ใหม่ก็คือ ลำดับการส่งงานเข้าร่วมการประชุมในต่างประเทศ ที่สำคัญก็คือได้เรียนรู้เพื่อนที่นี่ ทั้ง Professor, เพื่อนที่มาช่วยส่ง Abstract ให้ เพราะพรุ่งนี้เพื่อนต้อง present lab meeting อีก ซึ่งเพื่อนยังทำงานตัวเองไม่เสร็จเลย แต่ก็เต็มใจมาช่วยเรา ให้ได้ไปด้วยกัน แล้วก็ David อีก ที่สละโต๊ะทำงานให้เรารีบมา print อันนี้ก่อน แล้ว David ยังมาช่วยเตือนจูนอีกด้วยว่า June อย่าลืมใส่ชื่อ Advisor ที่เมืองไทยนะ จูนบอกว่า sure เรียบร้อยแล้ว David ก็บอกอีกว่า Good,it's very important. You should not forget. ก็คือมาช่วยเตือนและสอน ในฐานะที่มีประสบการณ์มาเยอะกว่า ขอบคุณทุกคนมากๆ ค่า สำหรับจูน บางครั้ง..มิตรภาพ ความทรงจำ ความรู้สึกที่ดีดี ก็มีคุณค่ามากกว่าเกียรติยศ เงินทองและวัตถุภายนอก..(อันนี้เป็นมุมของจูนนะคะ สำหรับคนอื่นอาจว่าไม่ใช่ก็ได้ จูนก็ต้องเคารพความคิดคนอื่นเช่นกัน)ถึงช่วงนี้จะเศร้าๆ คิดถึงบ้าน แต่ทั้งหมดในวันนี้ก็ทำให้จูนได้ค้นพบ'อีกมุมนึง' ระหว่างทางเดินนี้..ที่แอบเติมความสุขให้จูน ในวันที่เหงาๆ ทีเดียวจ้ะ.. (@^_^@)

October 03, 2005

เจ๊ไอ ภาค 2 !!!! กับฮิจาบ้ะ

กลับมาอีกครั้งกับ My RooMmate..เจ๊ไอ ภาค 2 สำหรับใครที่อยากรู้ภาคต่อ ก็มาดูกันเลยจ้ะ ปกติเจ๊ไอจะมีผ้าคลุมศรีษะผูกไว้ตลอดเวลาค่ะ ภาษาเค้า เรียกว่า Hijab-ฮิจาบ้ะ ค่ะ (เพื่อนบอก เจ๊ไอไม่ได้บอก)search หาในเนตได้ความว่า เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับสาวชาวมุสลิมค่ะ คลุมศรีษะไว้และเปิดเฉพาะส่วนหน้า แต่ถ้าเจ๊ไออยู่คนเดียว เธอก็จะไม่คลุม วันนึงเธอก็ทำครัวอยู่ ทีนี้พอจูนกลับบ้านมาปุ๊บ เปิดประตูเข้าไป เธอก็ตะโกนโหวกเหวก ว่า June อย่ามาตรงนี้นะ เธอไม่ได้โพกผ้า ถ้ายูกลับห้องไปเมื่อไหร่ให้บอกด้วย ไอจะกลับห้องไปหยิบผ้ามาคลุม คือแบบว่าสมัยนั้นเนี่ยนะคะ พึ่งมาได้อาทิตย์กว่า ก็แบบว่ายังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เจ๊ไอพูดอะไรน่ะ ไม่เห็นเข้าใจเลย ก็เลยเดินตรงดิ่งงงงงๆๆ เข้าไปหาเธอเลยค่ะ "Again please…" แล้วเธอก็ shock..!! วิ่งหนีกลับห้องไปเลยค่ะท่านผู้ชม ง่ะ ก็สมัยนั้น ยังฟังอะไรไม่ค่อยออกอ่ะ.. เธอจะให้เราเดินไปที่อื่นก่อน แต่เราดันวิ่งไปหาเธอซะหนิ ง่ะ ไม่ตั้งใจอ่ะ แอบรู้สึกผิดจิ๊ดนึง ขอโทษนะไอนะ เมื่อวานนี้ก็เหมือนกันค่ะ จูนงัวเงียตอน 5 ทุ่มตื่นมาเข้าห้องน้ำ เปิดประตูเดินออกมาปั๊บ มีเสียง Oh!! พร้อมกลับมีเสียงหลบพรุ่บเข้าไปอยู่หลังกำแพง จูนก็งงค่ะ อ๋อ เธอไม่ได้คลุมศรีษะอีกแล้วค่ะ เลยต้องรีบบอกเธอไปว่า Okay, I will go to bathroom. You can come to your room.อิอิ ก็เริ่มชินและเข้าใจมากขึ้นแล้วค่ะ แต่ไม่เป็นไร เราก็ต้องเคารพศาสนาและขนบธรรมเนียมของเขาเหมือนกันใช่มั้ยคะ เพราะถ้าเป็นเรา ก็คงไม่ชอบให้ใครลบหลู่ศาสนาของเราเช่นกัน แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่อีกแบบสำหรับจูนค่ะ นอกจากนี้ ก็มีอีกวัน..เพื่อนเธอมาหาที่ห้อง ติ๊งต่องๆๆ เราออกมาก็ได้ยินเป็นเสียงผู้ชายแน่ๆ เราก็เลยบอกว่า Wait for a minute, เจ๊ไอ is coming. ละก็ไม่ได้เปิดประตู ก็ No boy ใช่ปะ เลยไม่เปิดไง ทีนี้พอเธอมาเปิดประตู เธอก็เดินมาถามว่า June, why didn’t open the door? อ่ะๆ เดี๋ย ๆๆ ก็ No boy ไม่ใช่อ๋อ แล้วใครมันจะไปกล้าเปิดล่ะ บอกเธอไป เธอก็เลยเงียบแล้วยิ้ม เธอก็คุยกับเพื่อนเธออยู่ ครึ่ง ชม. ค่ะท่านผู้ชม เปิดประตูไว้ ตั้งฉาก 90 องศากับผนังห้อง เพื่อนเธอยืนคุยอยู่ข้างนอกประตู ตอนหลังเธอเมื่อย เธอไปลากเก้าอี้มาสำหรับเธอนั่งอยู่ข้างประตูค่ะ 555555 แต่ก็ดี ปลอดภัยสำหรับเรา เลยคิดว่าไม่ย้ายไปไหนดีก่า อย่างน้อยก็คงไม่มีกองทัพงูเห่าบุกเข้ามาในห้องเราได้ ด้วยกฏเหล็ก No Male ของเจ๊ไอ .. และอาทิตย์นี้ก็ถึงเวรทำความสะอาดของ ดญ.จูนอีกครั้ง เนื่องจากไม่ค่อยชินกับเครื่องดูดฝุ่นอันนี้ ต้องก้มซะตั้งเยอะแต่ก็ยังไม่ค่อยจะสะอาด เลยตัดสินใจไปสำรวจโลกหาไม้กวาดแบบที่บ้านเราใช้ ไปเจอที่ Asian Grocery เก่าๆที่นึง บ้านเราเมืองเราขายเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่เคยซื้อ แต่พอมาซื้อที่นี่ $2.29 ค่ะ เดินหอบกลับบ้านมาอย่างเหนื่อย วางไว้หน้าตู้เก็บของ น้องไอมาถามว่า "What is this, June?" จูนตอบ "A broom, you know?" เจ๊ไอทำหน้าตกใจ "Will you have Halloween Party?" 555 ต้องรีบบอกเธอว่า ม่ายจ้ายยยย เอาไว้กวาดห้องทำความสะอาดก่อนถู ดีนะเนี่ยยังไม่ได้ซื้อ..ฟักทองมาด้วย ไม่งั้นล่ะปายกานหย่ายย 555 เดี๋ยวเธอจะตกใจว่าเราจะจัด Halloween Party เพราะบังเอิญตอนนี้ดันตรงกับช่วงเดือน Halloween พอดี ตลกจัง อิอิอิ แต่ยังไงก็ตาม..ล่าสุดตอนนี้เราคุยกันได้มากขึ้นแล้วค่ะท่านผู้ชม หลังจากจูนไปนั่งเล่นคอมในห้องนั่งเล่น เธอตื่นเต้นกับ wireless มาก และเธอก็ขอดูรูป จูนเลยนำเสนอ trip ที่ไปเชียงใหม่กะเพื่อน เจ๊ไอตื่นเต้นมาก แล้วก็ชี้ถามรายตัวเลยนะคะว่าคนไหนทำงานอะไรบ้าง มีอีกวันเธอก็มาถามด้วยว่าเราปิดหน้าต่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่นรึป่าว เธอบอกว่า I รู้นะว่าบางทีมันร้อนโดยเฉพาะห้อง you แต่เราอยู่ชั้น 1 นะ มันก็ไม่ค่อยปลอดภัยใช่มั้ย เพราะงั้นปิด น่าจะดีกว่ามั้ย ....เนี่ย....เป็นไงล่ะคะท่านผู้ชม เธอเป็นเริ่มเป็นห่วงสวัสดิภาพของเรา หรืออาจรวมถึงเป็นห่วงตัวเองด้วยก็ตาม แต่ยังไงก็ดูเหมือนคำสอนของพ่อเริ่มจะเป็นจริงอีกอย่างแล้ว (คำสอน อยู่ในตอน ‘เรื่องของ roommate’ คลิกกลับไปดูได้จ้ะ) อืม ชีวิตนึงคงมีโอกาสไม่บ่อยที่จะได้เรียนรู้อะไรแปลกๆแบบนี้ แต่ละคนก็ย่อมต้องมีประสบการณ์ต่างกัน มันก็คงต้องเต็มที่กันหน่อยเนาะจ๊า ก็ To Learn is Happiness ไงล่า.. คิดถึงทุกคน..น๊า ปล.ตอนนี้ได้ยินเสียงเธอร้องเพลงแขกอีกแล้วค่ะ (ทุกคืนเลยอ่ะ)

October 02, 2005

One Month..Believe it or Not?

Believe it or not? One month ago that I came here!! ไม่น่าเชื่อเลยว่ามาที่นี่ได้เดือนนึงแล้ว รู้สึกว่าผ่านไปเร็วมากๆ บางครั้งยัง งงๆ อยู่เลยว่า นี่เราอยู่ที่ USA แล้วจริงหรอ เพราะแค่เดือนนึงก่อนหน้านี้ ยังวิ่งเล่นวุ่นวายอยู่ที่ Thailand ไม่เป็นสาระอยู่เลย เพื่อนที่นี่ก็บอกเหมือนกันว่ารู้สึกเหมือน You มานานกว่านั้นเลย You did a lot of work. ก็จริงอ่ะ เพราะ 1 เดือนนี้ ทำงานเสร็จไปแล้ว 1 Experiment ตอนนี้เริ่ม Experiment ใหม่แล้ว สิริรวมแล้ว มาถึงนี่ 30 วัน จัดการส่งหนูขึ้นสวรรค์ไป 19 ชีวิตแล้ว My goddd!! หมดเดือนนี้ว่าจะเลิกแล้ว หวังว่าจะได้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น เมื่อวานส่งสารกลับเมืองไทย โดยมีเพื่อนอเมริกันคนนึงช่วยดูแลให้ ชื่อ Whitney ตลกมาก อายค่ะอายยยยย มีหลายอย่าง กรอกผิด แล้ว Whitney ต้องคอยบอกว่าไม่เขียนแบบนี้นะ ต้องเขียนอีกแบบ เช่น $ 2 ไม่ใช่ 2 $ , 10/02/2005 ที่นี่นิยมเอาเดือนขึ้นก่อนวันที่ อิอิ ก็ไม่รู้อ่ะ ตั้งใจกรอกมาก จน Whitney บอกว่า You สนใจ I บ้าง อยากคุยเรื่องอื่นมั่ง อย่าตั้งใจขนาดนั้น คุยไปกรอกไปก็เลยหัวเราะตลอดเพราะ กรอกไรไม่รู้ผิดๆ งงๆ ฟัง Whitney ก็ไม่ค่อยออก เพราะเป็นอเมริกันจริงๆ พูดอย่าง ก็เข้าใจเป็นอีกอย่าง รู้ศัพท์แต่การออกเสียงไม่เหมือนกัน พอเข้าใจก็ขำกันใหญ่เลย จน Whitney บอกว่า You are such a happiness. Because you always laught. เออ ก็จะไม่หัวเราะได้ไงอ่ะ กรอกอะไรขำๆ เต็มไปหมด ฟังก็ไปคนละความหมาย ก็อายเดะ ยังไงก็ตามช่วงนี้ เป็นช่วงที่สนุกกับการทดสอบตัวเอง ว่าคุยกับฝรั่ง รู้เรื่องแค่ไหนแล้ว (Asia ยังพอง่ายกว่า)ก็เลยไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ เพราะอยากรู้ตัวเอง ก็โทรไปคุยกะคุณไปรษณีย์ที่ Post office เพราะที่บ้านส่งของมาแต่ลืมเขียนสิ่งสำคัญมากไปอย่างนึงคือที่ตั้งของ Apartment ซึ่งคุณบุรุษไปรษณีย์จะไม่มีทางหาได้แน่นอน ก็โทรไปบอกกัน 3-4 ครั้ง น่าตื่นเต้นมากเลยนะสำหรับจูน เพราะไม่สามารถใช้ภาษากายสื่อความหมายกันได้ เพราะฉะนั้นต้องใช้แต่การพูดกับการฟังล้วนๆ ก็มั่วกันไป แต่ในที่สุด เค้าก็เติมเลขที่ขาดหายไปตามที่เราโทรบอก แล้วส่งมาถึง Apartment จนได้ เป็นอันว่างานนี้ผ่านไป แล้วก็ชอบไป Book Store ของ University ไปทุกวัน จนคนขายมายิ้มให้ แล้วถามว่า Can I help you, today? อิอิ เลยตอบว่า No thanks, I like stationary and wanna look around before. เลยต้องยิ้มหวานให้เค้าไป เพราะอาย มาแต่ไม่ซื้ออะไรซะที ก็ชอบดูอ่ะ แล้วก็ล่าสุดเลยค่ะ เมื่อวานนี้เพื่อนพาไปทานข้าว ซื้อของ แล้วก็ไป Book store ใหญ่ทีเดียว ชื่อ Nobel ซึ่งทีนี้จูนเกิดสนใจคนละ Zone กับเพื่อนเลยเดินไปดูคนเดียว ดูไปดูมา อยู่ดีๆ มีฝรั่งมาทัก (น่าจะเป็นคนอเมริกัน คน Rochester นี่ล่ะมั้ง)มาคุยด้วย ตกกะใจหมดเลย เป็นชายหนุ่ม(แต่ไม่มาก 555 ประมาณ 34-35 ล่ะมั้ง)คือถ้าเป็นคนอื่นคงตื่นเต้นที่มีชายหนุ่มท่าทางเรียบร้อยมาทักใช่ป่าว แต่จูนค่ะ ตื่นเต้นตกใจว่า ง่ะ ฉันทำอะไรเค้าหล่นรึป่าวเนี่ย แล้วจะคุยกะเค้ารู้เรื่องมั้ยเนี่ย แต่ด้วยความที่ก็เป็นช่วงที่สนุกกับการทดสอบ เลยทำใจดีพูดกับเค้า ซึ่งก็ไม่ได้มีคำถามอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัว สรุปแล้วคือ เค้ามาถามว่า เป็น student ของ UofR ใช่มั้ย เค้าเห็น Student ID card เค้าก็จบจากที่นี่เหมือนกัน เค้าก็ถามว่าเรียนที่ Department ไหน เค้าตื่นเต้นมากที่รู้ว่าเป็น Visiting student และพึ่ง came here only one month เค้าเลยถามว่า เคยมีใครบอกมั้ยว่าที่นี่ Winter หนาวมาก และตอนนี้ Winter is nearly coming. เพราะฉะนั้นอย่าลืมเตรี่ยมเสื้อผ้าดีๆ นะ ไม่งั้นเดี๋ยวเราจะไม่ไหว แล้วก็ Nice to meet you. โอเค เอาเป็นว่างานนี้คุยพอรู้เรื่อง ดีใจจัง แต่คุยเสร็จ รีบแกะ ID card เข้ากระเป๋าเลยอ่ะ อายยยยย เดี๋ยวมีใครมาทักอีก ก็ปกติอยู่มหาลัย ต้องติดตลอดเวลาอ่ะ เป็นปัจจัยที่ 6 ต่อจาก Laptop ไม่งั้น scan เข้าห้องต่างๆ ไม่ได้ ว้า แย่จัง แต่สรุปแล้ว พัฒนาการทางการสื่อสารก็ค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ แค่พอเอาตัวรอดได้ ไม่อดตายแค่นั้นแล่ะจ้ะ นี่ล่ะจ้า 1 เดือนแรกของจูน ก็ค่อยๆ LeArN กันไปเนาะ (@^_^@) ..วันนี้ก็เอารูปที่ไปเที่ยวบ้าน Professor ที่ทะเลสาบมาให้ดูละกันนะจ๊ะ แล้ววันหลังค่อยเล่าให้ฟังอีกทีว่ามีอะไรบ้าง